วัดอรุณราชวรารามนั้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก
ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกเหนือพระราชวังเดิม
ซึ่งปัจจุบันเป็นกองบัญชาการทหารเรือและอยู่ในพื้นที่แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่
กรุงเทพมหานคร
วัดนี้เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
เดิมที่ชื่อว่าวัดมะกอก ต่อมาเติมเป็นวัดมะกอกนอก แล้วเปลี่ยนเป็นวัดแจ้ง
วัดอรุณราชธาราม และวัดอรุณราชวรารามดังเช่นในปัจจุบัน
อาณาเขตของวัดกว้างขวางมาก ทางทิศเหนือติดกำแพงวัดด้านเหนือหลังโรงเรียนประถมทวีธาภิเศก
ทางด้านทิศใต้ติดกับกำแพงพระราชวังเดิม (กองทัพเรือ)
ทางด้านทิศตะวันออกจดฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
และทางทิศตะวันตกจะเป็นกำแพงวัดติดถนนอรุณอัมรินทร์
ความสำคัญของวัดอรุณราชวรารามประการหนึ่งคือ
จัดว่าเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เนื่องจากพระองค์ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์
ตั้งแต่ยังทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอและได้ทรงผูกพันอยู่กับวัดนี้มาก
จนถึงขนาดทรงปั้นหุ่นพระพักตร์พระประธาน ในพระอุโบสถด้วยพระองค์เอง นอกจากนั้น
วัดอรณราชวรารามยังเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาล
สงวนไว้เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานพระกฐิน เป็นประจำทุกปี
และมีการเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนทางชลมารคด้วยเรือพระราชพิธีที่งดงามยิ่ง
พระปรางค์เป็นศิลปกรรมที่สง่างามเด่นที่สุดในวัดรุณราชวราราม
ตั้งอยู่หน้าวัดทางทิศใต้
พระปรางค์องค์นี้เดิมทีสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ไม่มีหลักฐานมีลักษณะเป็นแบบใด นอกจากกล่าวว่าสูงประมาณ 8
วา เป็นปูชนียสถานที่สร้างขึ้นพร้อมกับโบสถ์และวิหารน้อยหน้าพระปรางค์
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ทรงมีพระราชสัทธาจะเสริมสร้างให้สูงใหญ่เป็นมหาธาตุประจำพระนคร
แต่ทรงกระทำได้เพียงโปรดให้กะที่ขุดรากเตรียมไว้เท่านั้นเนื่องจากสวรรคตเสียก่อน
เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3
โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดนี้เป็นการใหญ่อีกครั้ง
เริ่มแต่ทรงปฏิสังขรณ์และสร้างกุฏิสงฆ์เป็นตึกใหม่ทั้งหมด
และทรงมีพระราชดำริที่จะสนองพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ
จึงโปรดให้เสริมสร้างพระปรางค์องค์ใหญ่สูงถึง 1 เส้น
13 วา 1 ศอก 1
คืบ กับ 1 นิ้ว (สูง
67
เมตร)
ฐานพระปรางค์กลมโดยรอบ
5 เส้น 17 วา (234
เมตร) รัชกาลที่ 3
เสด็จพระราชดำเนินมาก่อ พระฤกษ์ เมื่อวันศุกร์ เดือน 9
แรม 12 ค่ำ พ.ศ. 2385
สำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2394 ใช้เวลาสร้างถึง 9
ปี และทรงโปรดให้หล่อยอดนพศูลพระปรางค์ ปี พ.ศ. 2389
เมื่อยกยอดพระปรางค์ซึ่งเดิมทำเป็นยอดนพศูลตามประปรางค์แบบโบราณ
แต่ครั้นใกล้วันฤกษ์กลับโปรดให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูปทรงเรื่องที่จะเป็นพระประธานในวัดนางนองมาติดต่อบนยอดนภศูล
เมื่อการก่อสร้างสำเร็จแล้วยังไม่ทันมีงานฉลองก็พอดีสิ้นรัชกาลที่ 3
ในปี พ.ศ. 2394
พระปรางค์ที่เห็นในปัจจุบันได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีรั้วล้อมทั้ง 4 ด้าน
ตอนล่างเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูนเตี้ย ๆ ทาด้วนน้ำปูนสีขาว
ตอนบนเป็นรั้วเหล็กทาสีแดง มีรูปครุฑจับนาคติดอยู่ตอนบนทุกช่อง
แต่ละช่องกั้นด้วยเสาก่ออิฐถือปูน
ด้านตะวันตกหลังพระปรางค์มีเก๋งจีนแบบของเก่าเหลืออยู่ 1
เก๋ง หน้าบันและใต้เชิงชายประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสี
ลานพระปรางค์ตั้งแต่รั้วถึงฐานพระปรางค์ปูด้วยกระเบื้องหิน
แต่ละมุมด้านในของรั้วมีแท่นก่อไว้เป็นลายเป็นขาโต๊ะตั้งติดกัน
เข้าใจว่าคงเป็นที่ตั้งเครื่องบูชาหรือวางของรอบ ๆ
ฐานพระปรางค์จะมีตุ๊กตาหินแบบจีนเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ
กับรูปทหารจีนตั้งไว้เป็นระยะ
พระปรางค์องค์ใหญ่ มีบันไดขึ้นสู่ชั้นที่ 1
ระหว่างปรางค์ทิศและมณฑปทิศด้านละ 2
บันได รวม 4 ด้าน เหนือพื้นชั้นที่ ๆ เป็นฐานของชั้นที่
2 รอบฐานมีรูปต้นไม้ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ
เหนือขึ้นไปเป็นเชิงบาตร ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีลายดอกไม้
ใบไม้มีบันไดขึ้นสู่ชั้นที่ ๆ ตรงหน้ามณฑปทิศมณฑปทิศ มณฑปละ 2
บันได คือ ทางซ้ายและทางขวาของมณฑป เหนือพื้นชั้นที่ 2
เป็นฐานของชั้นที่ 3
มีช่องรูปกินนรและกินรีสลับกันโดยรอบ เชิงบาตรมีรูปมารแบก
และมีบันไดตรงจากหน้ามณฑปทิศแต่ละมณฑปขึ้นชั้นที่ 3
ด้านละบันไดที่เชิงบันไดมีเสาหงส์หินบันไดละ 1 ต้น
เหนือพื้นชั้นที่ 3 เป็นฐานชั้นที่ 4
มีช่องรูปกินรีและกินนรสลับกันโดยรอบเว้นแต่ตรงมุดยอด 4
ด้านเป็นรูปแจกันปักดอกไม้ที่เชิงบาตเป็นรูปกระบี่แบก
มีบันไดขึ้นไปยังชั้นที่ 4 อีก 4
ลันได ตรงกับบันไดชั้นที่ 3
และมีเสาหงส์หินอยู่เชิงบันไดด้านละ 2 ต้นเหมือนกัน
เหนือพื้นชั้นที่ 4 ขึ้นไปมีรูปพรหมแบก
ตามช่องมีรูปกินนรและกินนรีสลับกันโดยรอบ
ตรงยอดมุมเป็นรูปแจกันปักดอกไม้คล้ายกันทุกชั้น เหนือขึ้นไปเป็นซุ้มคูหา
4
ด้าน เหนือซุ้มคูหาขึ้นไปเป็นยอดปรางค์ขนาดย่อม
มีรูปพระนารายณ์ทรงครุฑจับนาคแลกพระปรางค์อยู่โดยรอบ
ตอนสุดของพระปรางค์เป็นนพศูลและมงกุฎปิดทอง
องค์พระปรางก่ออิฐถือปูน
ประดับด้วยชิ้นกระเบื้องเคลือบสีต่าง เป็นลายดอกไม้ ใบไม้ และลายอื่น ๆ
กระเบื้องเคลือบสีที่ใช้ประดับนี้ บางแผ่นเป็นรูปลายที่ทำสำเร็จมาแล้ว
บางแผ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนำมาประกอบเข้าด้วยกัน
บางลายใช้กระเบื้องเคลือบธรรมดา บางลายใช้กระเบื้องเคลือบสลับเปลือกหอย
และบางลายใช้จานชามของโบราณที่มีลวดลายงดงามเป็นของเก่าหายาก เช่น ชามเบญจรงค์
เล็กบ้างใหญ่บ้างมาสอดสลับไว้อย่างเป็นระเบียบ
นอกจากพระปรางค์องค์ใหญ่แล้ววัดอรุณราชวรารามยังมีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าอีกหลายประการด้วยกัน
อาทิ มณฑปหรือปราสาททิศ ซึ่งจะตั้งอยู่บนฐานชั้นที่ 2
ในระยะระหว่างปรางค์ทิศ
ปรางค์ทิศ เป็นปรางค์องค์เล็ก ๆ
อยู่บนมุมชั้นล่างของพระปรางค์องค์ใหญ่ ตรงกับทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศละองค์
ปรางค์ทิศทั้ง 4
องค์นี้จะมีรูปทรงเหมือนกัน
พระอุโบสถ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดสร้างในสมัยรัชกาลที่
2 เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมาก
ด้านในของพรุอุโบสถจะมีภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้ง 4 ด้าน
พระประธานในพระอุโบสถมีพระนามว่า พระพุทธธรรมมิกราชโลกธาตุดิลก
เป็นพระพุทธรูปปางมาวิชัย หล่อในสมัยรัชกาลที่ 2
กล่าวกันว่า พระพักตร์เป็นฝีพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 2
และบริเวณรอบพรุอุโบสถนั้นจะมีพระระเบียงหรือพระวิหารคด
มีประตูเข้าออกอยู่กึ่งกลางพระระเบียงทั้ง 4
ทิศ
และภายในพระระเบียงจะมีพรุพุทธรูปปางมารวิชัยบรรจุอยู่โดยรอบ
พระวิหาร
ตั้งอยู่ระหว่างมณฑปพระพุทธบาทจำลองกับหมู่กุฏิคณะ 1
เป็นอาคารยกพื้นสูงเช่นเดียวกับพรุอุโบสถ พระประธานในพระวิหารคือ พระพุทธชัมภูนุทมหาบุรุษลักขณาอสิตยานุบพิตร
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
และในปัจจุบันได้ใช้พระวิหารหลังนี้เป็นศาลาการเปรียญของวัดด้วย
โบสถ์น้อยและวิหารน้อยหน้าพระปรางค์
เป็นโบสถ์และวิหารเดิมของวัดมะกอกสร้างในสมัยอยุธยาคู่กันมากับพระปรางค์องค์เดิมและโบสถ์นี้
ในปัจจุบันยังใช้เป็นทางผ่านเข้าสู่พระปรางค์ได้ด้วย
นอกเหนือจากโบราณสาถนและโบราณวัตถุสำคัญ ๆ
ดังกล่าวข้างต้นแล้ว วัดอรุณราชวารามยังมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง
คือ มณฑปพระพุทธบาทจำลองซึ่งยู่ระหว่างเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ 4
องค์กับพระวิหารใหญ่ พระเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้ยี่สิบ 4
องค์ซึ่งอยู่ระหว่างพระระเบียงอุโบสถด้านใต้กับมณฑปพระถุทธบาทจำลองเรียงเป็นแถวงจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก
หอระฆัง 2 หอ ซึ่งอยู่ด้านเหนือหลังพระวิหาร หอไตร
2 หอซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของหมู่กุฎิคณะ1
ใกล้กับสระน้ำหลังหนึ่ง และอีกหลังหนึ่งอยู่ทางด้านเหนือคณะ
7 ศาลาท่าน้ำทรงเก๋งจีนซึ่งอยู่ที่บริเวณเขื่อนหน้าวัด
และภูเขาจำลองซึ่งอยู่หน้าวัดด้านเหนือ
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ล้วนแต่มีลักษณะสวยงามสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่
2 และรัชกาลที่ 3
ทั้งสิ้น
ในสมัยรัชกาลที่ 9 นี้วัดอรุณราชวรารามได้มีการสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยขึ้นที่บริเวณเขื่อนหน้าวัด
เนื่องในมหามงคลวโรกาสแห่งราชพิธีกาญจนาภิเษก เมื่อ ปี พ.ศ. 2539
เป็นศิลปะที่ประเมินค่ามิได้ของไทย
ทำให้ประชาชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมใจกันทำนุบำรุงรักษา
ให้วัดนี้เป็นศรีสง่ายั่งยืนสืบไปตลอดจวบชั่วกัลปาวสาน ชาวต่างประเทศทั่วโลก
เมื่อได้เห็นพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ก็จะต้องเข้าใจได้ทันทีว่านี่คือสัญลักษ์ของประเทศไทย
สำหรับการเดินทางไปเที่ยวชมวัดอรุณราชวรารามนั้นก็ไปไม่ยาก
สามารถไปได้ 2 ทางด้วยกันทั้งทางเรือและทางรถ
เนื่องจากวัดอรุณราชวารามนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและอีกด้านหนึ่งของวัดอยู่ติดถนนอรุณอัมรินทร์
ทางเรือนั้นสามารถนั้งเรือจกตลาดท่าเตียนซึ่งอยู่ใกล้วัดโพธิ์ข้ามฝากมาขึ้นที่ว่าท่าน้ำวัดอรุณราชวรารามได้เลยด้วย
อัตราค่าโดยสารเพียง 1 บาทเท่านั้น
ส่วนทางรถยนต์นั้นจะมีรถประจำทางสาย 19 และ 57
วิ่งผ่าน ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละบุคคล
ที่จะมาชมก็แล้วกันและบริเวณภายในของวัดก็กว้างขวางเพียงพอ
ถ้าจะนำรถยนต์ส่วนตัวไปจอด