| 
       
		
		ประวัติศาสตร์จังหวัดชุมพร 
		
		 ประวัติการตั้งเมือง 
		
		          
		คำว่า 
		"จังหวัดชุมพร"
		
		เพิ่งเริ่มใช้ในปี ๒๔๕๙ 
		โดยทางราชการได้เปลี่ยนนามท้องที่ที่เรียกว่า 
		เมืองอันเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลว่า 
		"จังหวัด"
		
		
		ส่วนคำว่าเมืองให้ใช้สำหรับเรียกตำบลที่ประชาชนได้เคยเรียกว่าเมืองมาแล้วแต่เดิมอันเป็นเขตชุมชนเท่านั้น 
		ในสมัยโบราณมีชื่อว่า 
		"เมืองชุมพร"
		
		เมืองชุมพรเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่ง 
		แต่จะตั้งเมื่อใดไม่มีหลักฐานแน่นอน เพิ่มมาปรากฏตามตำนานพระ-ธาตุเมืองนครศรีธรรมราชฉบับของหอสมุดแห่งชาติมีความตอนหนึ่งว่า 
		เมื่อศักราชได้ ๑๐๙๘ ปี พระยาศรีธรรมาโศกราช 
		ก็สร้างเมืองลงบนหาดทรายรายรอบเป็นเมืองนครศรีธรรมราช 
		แล้วสั่งให้ทำอิฐทำปูนก่อพระธาตุครั้งนั้น และยังมีพระพุทธสิหิงค์ล่องทะเลมาแต่เมืองลังกาถึงเกาะปีนัง 
		และลอยมาถึงหาดทรายแก้วที่จะก่อพระธาตุนั้น ต่อมาพระยาศรีธรรมาโศกราชได้ขุดพบพระธาตุแล้วแบ่งให้พระยาศรี-ธรรมาโศกราชไปก่อพระเจดีย์ 
		บรรจุพระบรมธาตุที่เหลือไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราชแล้วตั้งเมืองสิบสองนักษัตรตามปูมโหรขึ้นแก่เมืองนครศรีธรรมราช 
		ให้ใช้ตรารูปสัตว์ประจำปีเป็นตราของเมืองนั้น ๆ คือ 
		ปีชวดตั้งเมืองสายถือตราหนูหนึ่ง ปีฉลูเมืองตานีถือตราโคหนึ่ง 
		ปีขาลเมืองกลันตันถือตราเสือหนึ่ง 
		
		ปีเถาะเมืองปาหังถือตรากระต่ายหนึ่ง 
		ปีมะโรงเมืองไทรถือตรางูใหญ่หนึ่ง ปีมะเส็งเมืองพัทลุงถือตรางูเล็กหนึ่ง 
		ปีมะเมียเมืองตรังถือตราม้าหนึ่ง ปีมะแมเมืองชุมพรถือตราแพะหนึ่ง 
		ปีวอกเมืองปันทายสมอถือตาลิงหนึ่ง ปีระกาเมืองอุลาถือตราไก่หนึ่ง 
		ปีจอเมืองตะกั่วป่าถือตราสุนัขหนึ่ง ปีกุนเมืองกระถือตราหมูหนึ่ง เข้ากัน 
		๑๒ เมือง 
		มาช่วยทำอิฐปูนก่อพระธาตุขึ้นตามตำนานนี้เมืองนครศรีธรรมราชสมัยนั้นมีอำนาจมาก 
		ปรากฏว่ามีเมืองชุมพรเป็นเมืองขึ้นอยู่เมืองหนึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ.
		
		๑๐๙๘ เมืองชุมพรในสมัยนั้นปรากฏว่า 
		เป็นเมืองด่านเพราะอยู่ระหว่างช่องแคบมลายู 
		เป็นเมืองด่านหรือแคว้นเทพนครหรือแคว้นอู่ทอง 
		ในสมัยต่อมาไม่มีหลักฐานที่อ้างอิงหรือกล่าวถึง เมืองชุมพรไว้เลย 
		จึงมีผู้เข้าใจว่าเมืองชุมพรเป็นเมืองที่ตั้งขึ้นในสมัยอยุธยา 
		
		          
		
		เมื่อปีจอ พุทธศักราช ๑๙๙๗ 
		(จ.ศ.
		
		๘๑๖)
		
		ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ 
		พระเจ้าอยู่หัวในสมัยอยุธยาเป็นราชธานี ปรากฏในกฎหมายตราสามดวง 
		ซึ่งได้โปรดให้ชำระขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า 
		ได้มีพระบรมราชโองการตรัสเหนือเกล้าสั่งว่า 
		บรรดาข้าราชการอยู่บนหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือทั้งปวงให้ถือศักดินาตามพระราชบัญญัติ 
		และปรากฏว่ามีออกญาเคางะทราธิบดีศรีสุรัตวลุมหนักพระชุมพร 
		เมืองตรีถือศักดินา ๕,๐๐๐ 
		ไร่ เป็นอันรับรู้ว่าเมืองชุมพรเป็นเมืองตรี 
		และเกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินของพระองค์ 
		แต่ต้องเข้าใจว่าก่อนที่จะได้เป็นเมืองตรี 
		เมืองชุมพรจะต้องเป็นเมืองเล็กมาก่อน 
		จึงไม่มีหลักฐานในประวัติศาสตร์ไว้ให้เห็นชัด 
		เพิ่งมาปรากฏแน่ชัดขึ้นว่าเมืองชุมพรเป็นหัวเมืองหนึ่งในหัวเมืองปักษ์ใต้ตั้งแต่ปี 
		พ.ศ.
		
		๑๙๙๗ เป็นต้นมา หรือประมาณ ๕๐๓ ปีเศษแล้ว 
		
		 ประวัติที่ตั้งเมือง 
		
		          
		
		เมืองชุมพรจะตั้งอยู่ ณ ตำบลใด ที่ใดไม่มีหลักฐานที่แน่นอน 
		ทั้งนี้เมืองชุมพรไม่มีโบราณวัตถุที่เป็นพยานหลักฐานว่าเป็นเมืองแต่โบราณ 
		สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงเรียบเรียงไว้ในตำนานเมืองระนอง 
		ความตอนหนึ่งว่า เมืองชุมพรประหลาดผิดกับเมืองอื่นในแหลมมลายู 
		เมืองที่ตั้งมาแต่โบราณ เช่นเมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราชเป็นต้น 
		ล้วนมีโบราณวัตถุและมีตัวเมืองปรากฏอยู่บ้าง รู้ได้ว่าเป็นเมืองมาแต่โบราณ 
		แต่เมืองชุมพรยังไม่ได้พบโบราณสถานวัตถุเป็นสำคัญแต่อย่างใด 
		อาจจะเป็นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ มีที่นาไม่พอกับคนประการหนึ่ง 
		อีกประการหนึ่งอยู่ตรงคอคอดแหลมมลายู มักเป็นสมรภูมิรบพุ่งกันตรงนี้ 
		จึงไม่สร้างเมืองถาวรไว้ แต่ก็ต้องรักษาไว้เป็นเมืองด่าน นอกจากเหตุผล ๒ 
		ประการดังกล่าวแล้ว พิจารณาจากสภาพตามธรรมชาติ 
		แล้วยังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง คือ 
		ที่ท้องที่ตั้งจังหวัดชุมพรเป็นที่ราบต่ำน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร 
		เรือกสวนไร่นาเสียหายอยู่เสมอ บางปีน้ำท่วม ๒-๓ 
		ครั้ง 
		ภัยจากน้ำท่วมอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่นิยมสร้างถาวรวัตถุไว้ให้ปรากฏแก่ชนรุ่นหลังก็ได้ 
		แม้แต่บ้านเรือนราษฎรในเมืองก็ไม่ปรากฏว่าได้ก่อสร้างอาคารถาวรเป็นเรือนตึก 
		หรือคอนกรีต เพิ่งจะมีตึกขึ้นเป็นครั้งแรกในตลาดชุมพร เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๔๙๑ นี้เอง 
		
		          
		
		อย่างไรก็ดี จากหลักฐานบางอย่างปรากฏว่ามีหมู่บ้านหนึ่งอยู่ใกล้วัดประเดิม 
		อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำชุมพรเรียกว่า 
		"บ้านวัดประเดิม"
		
		หรือ"
		
		บ้านประเดิม"
		
		ปัจจุบันอยู่หมู่ที่ ๒๐ ตำบลตากแดด อำเภอเมืองชุมพร 
		พิจารณาตามลักษณะภูมิประเทศจะเห็นว่ามีคลองสองคลองไหลมาเกือบบรรจบกัน 
		และในระหว่างคลองทั้งสอง คือ คลองชุมพรและคลองท่าตะเภา 
		ซึ่งขณะนี้เรียกกันว่าคลองร่วม เมืองชุมพรตั้งอยู่ ณ คลองท่าตะเภา 
		หาใช่ตั้งที่คลองชุมพรตามชื่อเมืองไม่ จึงเป็นเหตุหนึ่งทำให้สันนิษฐานว่า 
		เมืองชุมพรแต่เดิมน่าจะอยู่ที่คลองชุมพรโดยใช้ชื่ออย่างเดียวกัน 
		นอกจากนั้นบริเวณใกล้เคียงวัดประเดิมมีวัดใหญ่อยู่บริเวณใกล้เคียงหลายวัดคือ 
		วัดประเดิม วัดนอก วัดพระขวางและวัดวังไผ่ 
		ส่วนวัดประเดิมเป็นวัดใหญ่ที่สำคัญ 
		ชาวบ้านนับถือและพากันไปทำบุญมากกว่าวัดอื่น ๆ 
		ซึ่งตามธรรมดาที่ตั้งเมืองโบราณมักจะมีวัดมากและตั้งอยู่ติด ๆ กัน 
		บริเวณวัดประเดิม ถัดมาทางทิศเหนือ มีอิฐแผ่นใหญ่จมอยู่ในดินบางแห่ง 
		และมีหลักเมืองแห่งหนึ่งใกล้ ๆ วัดประเดิม 
		หลักเมืองนี้ชาวบ้านในปัจจุบันมักไม่ค่อยรู้จักว่าเป็นอะไร 
		เพราะสภาพในปัจจุบันเป็นเพียงหินก้อนหนึ่งปักอยู่ในดินใต้ต้นข่อยใหญ่ 
		ชาวบ้านใกล้เคียงเรียกกันว่า 
		"พระข่อย"
		
		
		ถือเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป 
		ตามธรรมดาเมืองโบราณจะต้องมีหลักเมือง พระเสื้อเมืองเป็นประจำเมือง 
		ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ จึงสันนิษฐานว่าเมืองชุมพรเดิมตั้งอยู่ ณ บ้านประเดิม 
		ทางฝั่งซ้ายของเมืองชุมพร จึงมีชื่อตรงกับชื่อคลอง 
		อยู่ห่างจากเมืองชุมพรในปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ ๕ กิโลเมตร 
		ต่อมาสันนิษฐานว่าได้ย้ายตัวเมืองไปตั้งอยู่ ณ บ้านท่ายาง ตำบลท่ายาง 
		โดยมีหลักฐานอ้างอิงจากหลักฐานใด เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๕๗ ปีจอ ฉศก 
		(จ.ศ.๑๑๗๖)
		
		ในรัชกาลที่ ๒ แห่งราชวงศ์จักรี 
		พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงส่งสงฆ์ไทย จำนวน ๗ รูป เป็นสมณทูตออกไปเมืองลังกาโดยทางเรือ 
		โดยมีขุนทรงวิชัยหมื่นไกรคุมเครื่องดอกไม้เงินทองไปบูชาพระเจดีย์ฐานทั้ง ๑๕ 
		ตำบล ครั้นวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๒ เวลา ๔ โมง มีคลื่นจัดเรือได้เกยหาดมัทรีปากน้ำชุมพรแตก 
		คณะทูตได้ส่งคนออกหาบ้านคนแล้วโดยสารเรือจับปลามาถึงเมืองชุมพร 
		ได้ขออาหารจากเจ้าอธิการวัดท่ายางบริโภค 
		แล้วพากันมาหาเจ้าเมืองกรมการเมืองชุมพรได้ป่าวร้องให้ราษฎร์จัดแจงหาอาหารมาถวายพระสมณทูตแล้วออกไปรับพระสงฆ์สมณทูตกับคณะเข้ามา 
		ณ เมืองชุมพรนิมนต์ให้พระสงฆ์อาศัยในวัดท่ายาง คราวนี้จะเห็นได้ว่า 
		เมืองชุมพรในปี พ.ศ.
		
		๒๓๕๗ ตั้งอยู่ ณ ตำบลท่ายาง 
		ภูมิฐานของตำบลท่ายางในปัจจุบันนี้ยังมีบ้านเรือนหนาแน่น 
		และใกล้กับปากอ่าวมีเรือสินค้าขนาดใหญ่ไปมาสะดวกบัดนี้ก็ยังเป็นท่าเรือสินค้า 
		มีเรือต่าง ๆ 
		จากกรุงเทพมหานครบรรทุกสินค้ามาขึ้นแล้วบรรทุกรถยนต์ไปในเมืองอยู่เสมอ 
		ท่ายางเป็นตำบลใหญ่ตำบลหนึ่ง ขณะนี้มีวัดถึง ๗ วัด 
		วัดที่อยู่ใกล้เคียงตลาดเก่ามีถึง ๓ วัดติดกัน คือ วัดท่ายางใต้ 
		วัดท่ายางกลาง และวัดท่ายางเหนือ 
		ตำบลท่ายางจึงน่าจะเป็นที่ตั้งเมืองชุมพรในสมัยต่อมา 
		แต่ย้ายมาเมื่อใดยังไม่พบหลักฐานแน่นอน 
		
		          
		
		เมื่อตรวจสอบหลักฐานที่พอเชื่อถือได้พบว่าเมื่อปี พ.ศ.
		
		๒๔๓๓ 
		(ร.ศ.
		
		๑๐๙)
		
		
		พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประพาสแหลมมลายู 
		ได้เสด็จประทับที่เมืองชุมพรแล้วทรงม้า 
		
		ทรงช้างพระที่นั่ง ไปยังเมืองกระบุรี จังหวัดระนอง พลับพลาที่ประทับที่ชุมพรอยู่ทางใต้ของคลองท่าตะเภา 
		โดยมีทุ่งตีนสาย หนองหว้า หนองหวาย ตำบลกรอกธรณี 
		ปัจจุบันขึ้นกับคลองท่าตะเภา โดยมีทุ่งตีนสาย หนองหว้า หนองหวาย 
		ตำบลกรอกธรณี 
		(ปัจจุบันคือตำบลตากแดด)
		
		อยู่หลังพลับพลาทุ่งตีนสายยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ 
		อยู่ใกล้วัดสุบรรณนิมิตรไปทางทิศตะวันตกและได้ทรงเรือข้ามไปที่บ้านท่าตะเภา 
		ขึ้นที่หน้าบ้านเจ้าเมืองก่อนแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปตามริมฝั่งบ้านเรือนราษฎร 
		จึงเป็นที่เชื่อได้ว่า เมื่อพ.ศ.
		
		๒๔๓๓ 
		(ร.ศ.
		
		๑๐๙)
		
		เมืองชุมพรได้มาตั้งอยู่ที่คลองท่าตะเภาแล้ว 
		ตัวเมืองและสถานที่ราชการหาใช่ที่อยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ 
		อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับทุ่งตีนสายและบริเวณบ้านท่าตะเภาเหนือ 
		ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จโดยทางเรือพระที่นั่ง 
		๑๒ กรรเชียง ถึงพลับพลาที่ท่าตะเภาเหนือไปถึงหมู่บ้านที่เป็นเมืองชุมพร 
		เวลาจวนค่ำเสด็จพระราชดำเนินที่หมู่บ้านท่าตะเภาอำเภอเมืองชุมพรตลาดท่าตะเภาเดิมอยู่ตรงข้ามบ้านทุ่งตีนสาย 
		บริเวณระหว่างที่ทำการป่าไม้จังหวัดกับตลาดในปัจจุบันนี้ตลาดท่าตะเภานี้แต่เดิมเป็นป่ามีเสือชุกชุมมากจนขึ้นชื่อว่า 
		เสือชุมพรดุมาก เมื่อทางราชการตัดทางรถไฟสายใต้ผ่านตัวเมืองชุมพร 
		ป่าเสือก็กลายสภาพเป็นตลาดการค้า 
		ต่อมาตัวเมืองได้ย้ายอีกแต่ไม่ทราบว่าเมื่อใด 
		เนื่องจากไม่มีหลักฐานแน่นอนแต่จะต้องหลังจาก พ.ศ.
		
		๒๔๓๓ 
		(ร.ศ.
		
		๑๐๙)
		
		แล้ว ปรากฏว่าเมื่อพระบาทสมเด็จ 
		พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดการปกครองท้องที่ใหม่ 
		โดยแบ่งการปกครองออกเป็นเมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน 
		หลายเมืองรวมเป็นมณฑลเทศาภิบาล ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๙ 
		(ร.ศ.
		
		๑๑๕)
		
		ได้ตั้งมณฑลชุมพรขึ้น ตั้งศาลารัฐบาล ณ จังหวัดชุมพร 
		ปรากฏหลักฐานว่าตัวเมืองชุมพร ได้ย้ายที่ทำการมาตั้งอยู่ริมคลองท่าตะเภา 
		คือที่ปลูกบ้านพักนายอำเภอเมืองชุมพรอยู่ใกล้จวนผู้ว่าราชการจังหวัดในปัจจุบัน 
		
		          
		
		เหตุผลที่จำเป็นต้องย้ายเมืองจากบ้านประเดิม 
		และตำบลท่ายางมาอยู่ที่คลองท่าตะเภา ไม่พบหลักฐาน ณ ที่ใด 
		แต่เท่าที่ค้นคว้าน่าจะเป็นเพราะเหตุสองประการดังต่อไปนี้ คือ 
		
		          (๑)
		
		คลองชุมพรอันเป็นที่ตั้งเมืองมาแต่เดิม 
		เคยใช้เป็นทางเรือสำเภาใหญ่ ๆ 
		สัญจรและบรรทุกสินค้าไปมากับจังหวัดใกล้เคียงและต่างประเทศมีระยะไกลจากปากอ่าว 
		ประกอบกับคลองท่าตะเภาเป็นท่าเรืออยู่ก่อนแล้ว ความเจริญก็มีมากทำเลการทำมาหากินก็ดีขึ้น 
		ประกอบกับขณะนั้นประชาชน ณ 
		เมืองชุมพรเดิมคงจะถูกพม่ารุกรานจึงเที่ยวหลบซ่อนหาที่ตั้งบ้านเรือนใหม่ 
		จึงได้อพยพกันมาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินที่บ้านท่าตะเภามากขึ้น,
		
		กลายเป็นท้องที่ ๆ ประชาชนหนาแน่น จึงเป็นเหตุหนึ่ง 
		ให้ย้ายเมืองชุมพรไปจากบ้านประเดิม 
		
		          (๒)
		
		ปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า 
		เมืองชุมพรถูกพม่าข้าศึกยกทัพมาย่ำยีหลายครั้ง ที่สำคัญมี ๒ ครั้ง คือ 
		
		ก.    
		
		ในแผ่นดินพระที่นั่งสุริยามรินทร์ เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๐๗ ปีจอ ฉศก 
		(จ.ศ.
		
		๑๑๒๖) 
		
		พระเจ้าอังวะมังระแห่งพุกามประเทศ 
		ได้จัดกองทัพใหญ่พลฉกรรจ์สองหมื่นห้าพันมาตีกรุง 
		ศรีอยุธยา 
		แยกไปทางเหนือทัพหนึ่ง   แยกไปทางใต้ทัพหนึ่ง มีมังมหานรธาโบชุกเป็นแม่ทัพถือพลหมื่น
		
		ห้าพันยกมาตีเมืองทวาย 
		
		มะริด 
		
		และตะนาวศรี หุยตองจาเจ้าเมืองทวายสู้ไม่ได้หลบหนีเข้าไปทางเมือง 
		
		กระเข้ามาอยู่เมืองชุมพร ทัพพม่ายกติดตามไป 
		
		เมื่อตีได้แล้วเผาเมืองชุมพรเสียแล้วยกเข้ามาตีเมืองปะ 
		ทิว เมืองกุย 
		เมืองปรานแตกทั้งสามเมือง แล้วกลับเข้าไปเมืองทวาย
		
		ข.    
		
		ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พ.ศ.
		
		๒๒๓๘ ปีมะเส็ง สัปตศก(จ.ศ.
		
		๑๑๔๗) 
		พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่า 
		จัดกองทัพใหญ่มีพลหนึ่งแสนสามพันคน แยกเป็นหลายกอง
		
		ทัพมาย่ำยีประเทศไทย ตั้งแต่เมืองเชียงใหม่มาจนถึง เมืองถลาง (ภูเก็ต)
		ทางด้านปักษ์ใต้ได้แก่หวุ่นแมงญีเป็นแม่ทัพใหญ่ให้เนมโยตุงนรัตน์เป็นแม่ทัพหน้ายกมาทางเมืองกระ 
		เมืองระนองเข้าตีเมืองชุมพร 
		เจ้าเมืองกรมการเมืองชุมพรมีไพร่พลสำหรับป้องกันเมืองน้อยก็เทครัวเข้าป่า 
		ทัพพม่ายกเข้าตีเมืองชุมพรได้แล้วเผาเมืองชุมพรเสีย 
		ทัพหน้าเลยเข้าไปตีเมืองไชยา แล้วก็เผาเมืองไชยาเสียด้วย 
		ส่วนทัพใหญ่ยังคงตั้งอยู่เมืองชุมพรต่อมากองทัพหลวงมาจากกรุงเทพ ฯ 
		จึงตีกองพม่าแตกไป ในสมัยนี้บ้านเมืองก็คงจะร่วงโรย มีผู้คนเหลือน้อย 
		ต่างกระจัดกระจายกันไป เช่นเดียวกับเมืองระนอง 
		เมื่อเมืองชุมพรได้มาตั้งอยู่คลองท่าตะเภาแล้วที่ตรงนั้นอยู่ริมน้ำตกถูกน้ำเซาะตลิ่งพัง 
		จึงได้ย้ายที่ทำการมาตั้งอยู่ในสถานที่ซึ่งเป็นบริเวณหน้าศาลจังหวัดชุมพรในปัจจุบันเป็นสมัยที่พระสำเริงนฤปการเป็นเจ้าเมือง 
		
		          
		ในปี พ.ศ.
		
		๒๔๖๐ พระยาคงคาธราธิบดี สมุหเทศาภิบาลมณฑลสุราษฎร์ 
		ได้ขอเงินงบประมาณเพื่อสร้างศาลากลางจังหวัดขึ้นใหม่ที่ตำบลท่าตะเภา คือ 
		บริเวณเทศบาลเมืองชุมพร และสำนักงานที่ดินจังหวัดในปัจจุบัน 
		ก่อสร้างเสร็จเปิดทำงาน ณ ศาลากลางจังหวัดหลังใหม่ เมื่อ ๓ เมษายน ๒๔๖๒ 
		เวลา ๐๘.๐๐ 
		น. 
		
		ในสมัยอำมาตย์ตรีพระชุมพรศรีสมุทรเขต 
		(บัว)
		
		เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ด้วยเหตุนี้ทางราชการจึงถือว่า 
		วันที่ ๓ เมษายน เป็นวันที่ระลึกของจังหวัดชุมพร 
		เมืองชุมพรได้เป็นที่ศาลารัฐบาลมณฑลชุมพรด้วย 
		เมื่อเริ่มตั้งเป็นมณฑลขึ้นแล้ว ในปี พ.ศ.
		
		๒๔๓๗ มีเมืองขึ้นกับมณฑลนี้ ๓ เมือง คือ เมืองสุราษฎร์ธานี 
		เมืองชุมพร และเมืองหลังสวน ต่อมาใน พ.ศ.
		
		๒๔๔๘ 
		(ร.ศ.
		
		๑๒๔)
		
		ได้ย้ายศาลาเทศบาลมณฑลชุมพรไปอยู่ที่บ้านดอน 
		ซึ่งเป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานีในปัจจุบัน เพราะเหตุน้ำท่วมในปี พ.ศ.
		
		๒๔๕๘ ได้เปลี่ยนชื่อมณฑลชุมพรเป็นมณฑลสุราษฎร์ธานี 
		ให้ตรงกับท้องที่ที่ตั้งมณฑลในปี พ.ศ.
		
		๒๔๖๘ ได้ประกาศยกเลิกมณฑลสุราษฎร์ธานี และโอนการปกครอง ๓ 
		จังหวัด รวมทั้งจังหวัดชุมพรด้วยไปขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราช 
		หลังจากยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลทุกมณฑลในปี พ.ศ.
		
		๒๔๗๖ เป็นเหตุให้ยกเลิกมณฑลนครศรีธรรมราชไปด้วย 
		จังหวัดชุมพรจึงเป็นจังหวัดหนึ่งในราชอาณาจักร 
		ขึ้นตรงต่อราชการบริหารส่วนกลางจนทุกวันนี้ 
		
		 ประวัติคำว่าชุมพร 
		
		          
		คำว่า
		ชุมพร
		
		ตามอักษรแยกได้เป็น ๒ คำ คือ 
		ชุม
		
		คำหนึ่งและ 
		พร
		
		คำหนึ่ง คำว่า 
		ชุมตามปทานุกรมของกระทรวงศึกษาธิการแปลว่า 
		รวม,ชุก,มาก 
		รวมกันอยู่ คำว่า 
		พร 
		แปลว่า ของดี.
		
		ของที่เลือกเอา.ของประเสริฐ 
		คำว่า ชุมพรตามตัวอักษร จึงแปลได้ความว่าเป็นที่รวมของประเสริฐ 
		แต่ชื่อเมืองชุมพรนั้น ไม่มีความหมายเฉพาะตามตัวอักษร 
		
		          
		
		ชุมพรเป็นชื่อเมืองมาแต่โบราณ 
		ตามตำนานการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชได้มีการสร้างเมืองสิบสองนักษัตร 
		เมืองชุมพรเป็นเมืองหนึ่งในสิบสองนักษัตรเป็นปีมะแม ถือตราแพะ 
		และปรากฏหลักฐานแน่นอนว่า มีชื่อชุมพรมาแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ 
		แห่งกรุงศรีอยุธยา ชื่อนี้มีความหมายหรือประวัติความเป็นมาอย่างไร 
		ยากที่จะค้นคว้าหาหลักฐานได้ การที่จะสืบสวนไปว่ามีความอย่างใด 
		ก็ต้องพิจารณาประวัติศาสตร์หรือความเป็นมาแต่โบราณสมัย พิจารณาดูตามเหตุผล 
		เท่าที่รวบรวมและพิจารณาดู พอจะแยกออกได้เป็น ๓ ประการ คือ 
		
		          (๑)
		
		เนื่องด้วยเมืองชุมพร 
		ว่าโดยสภาพเป็นเมืองหน้าด่านในทางภาคใต้ เพราะสมัยโบราณยังไม่มีรถไฟ 
		เรือยนต์ หรือ เรือกลไฟ 
		ใช้ในกองทัพและพื้นที่ก็เป็นคอคอดที่แคบของแหลมมลายู การยกทัพต้องยกมาทางบก 
		และตั้งค่ายที่ชุมพร ฉะนั้น 
		การสงครามหรือการรบทุกครั้งไม่ว่าจะรบกับพม่าหรือปราบกบฏภายในราชอาณาจักรก็ตาม 
		เมื่อยกทัพหลวงมาครั้งใด เมืองชุมพรก็ต้องเป็นที่ชุมนุมพลหรือชุมนุมกองทัพ 
		ชาวชุมพรในสมัยโบราณได้ชื่อว่าเป็นนักรบ 
		เมื่อพม่าได้เคลื่อนทัพเข้ามาในดินแดนทางเมืองท่าแซะและตำบลรับร่อ 
		เจ้าเมืองจะเกณฑ์ไพร่พลเข้าป้องกันอย่างเข้มแข็งและเมืองชุมพรต้องร่วมสมทบกับกองทัพด้วย 
		จะเห็นได้ว่าเมืองชุมพรมีส่วนร่วมในการสงครามเกือบทุกครั้งตั้งแต่สมัยสุโขทัย 
		อยุธยา ธนบุรี จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จึงเชื่อกันว่าชุมพรมาจาก 
		คำว่า ประชุมพล"
		
		หรือชุมนุมพล
		
		นั่นเอง คำว่าประชุมพล แปลได้ความว่า รวมกำลัง 
		ทั้งนี้โดยเหตุที่ว่า 
		ก่อนจะยาตราทัพต้องมาประชุมพลหรือรวมกำลังออกเป็นหมวดหมู่ทุกครั้ง 
		แต่คำว่าประชุมพลนี้เรียกผิดเพี้ยนไปจากเดิมจนกลายเป็นชุมพร 
		เพราะคนไทยทางใต้ชอบพูดคำสั้น ๆ จึงตัดคำว่าประออกเสีย 
		ส่วนคำว่าพลต่อมาใช้คำว่าพรแทน 
		เพราะการเพี้ยนไปจากเดิมจึงกลายเป็นชุมพรมาจนทุกวันนี้ ซึ่งตามธรรมดา 
		ชื่อเมือง ชื่อตำบล มักจะเรียกเพี้ยนไปจากเดิมเสมอ อย่างไรก็ดีเมืองชุมพร 
		นับว่าเป็นเมืองสำคัญทางยุทธ-ศาสตร์มาแต่สมัยโบราณจนกระทั่งปัจจุบัน 
		แม้แต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.
		
		๒๔๘๔ 
		กองทัพญี่ปุ่นก็ยกพลขึ้นบกที่ปากน้ำชุมพรแล้วจึงยาตราทัพต่อไปยังประเทศพม่าตามแผนการที่วางไว้ขณะนี้ชุมพรยังมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ 
		จะเห็นได้ว่าเป็นจังหวัดทหารบกและมีกองกำลัง ร.
		
		๒๕ พัน ๑ ตั้งอยู่ ฉะนั้น ความหมายจากคำว่าประชุมพล 
		จึงมีความหมายตรงกับประวัติศาสตร์ของเมืองที่ว่าเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ 
		
		          (๒)
		
		โดยเหตุที่ที่ตั้งเมืองเดิม 
		อยู่บ้านประเดิมฝั่งขวาของคลองชุมพร 
		ที่คลองชุมพรมีต้นไม้ชนิดหนึ่งอยู่ทั่วไปทั้งสองฟากคลองเรียกกันว่า 
		มะเดื่อชุมพร
		
		เป็นพืชยืนต้น ปัจจุบันก็มีอยู่มาก 
		ใช้เปลือกและต้นทำยาสมุนไพร คลองนี้เดิมยังคงไม่มีชื่อ 
		ภายหลังจึงถูกตั้งชื่อว่า คลองชุมพร ตามต้นไม้ไปด้วย 
		เพราะตามปกติการตั้งชื่อท้องที่หรือแม่น้ำลำคลองมักจะเรียกตามชื่อต้นไม้หรือตามสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ 
		ณ ที่นั้น เช่นเดียวกับที่อำเภอท่าแซะมีชื่อต้นไม้แซะซึ่งขึ้นอยู่ข้างคลอง 
		ต่อมาเมืองที่มาตั้งจึงมีชื่อตามต้นไม้ไปด้วย เช่นเดียวกับชื่อชุมพร 
		อาจเรียกตามชื่อคลองหรือชื่อต้นไม้ก็เป็นได้ 
		คำว่าชุมพรนอกจากจะมีต้นไม้แล้ว ยังเรียกชื่อหวายชนิดหนึ่ง 
		ซึ่งเป็นสินค้าของชุมพร คือหวายชุมพรอีกด้วย 
		ซึ่งมีอยู่มากมายตามต้นคลองชุมพรโดยทั่วไป 
		
		          (๓)
		
		ตามตัวอักษรที่แปลว่า เป็นที่รวมของประเสริฐหรือของดีนั้น 
		ผู้ที่จะให้ของประเสริฐได้ 
		ต้องเป็นบุคคลที่มีอำนาจหรืออิทธิพลยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา 
		จึงอาจหมายถึงเทวดาเป็นผู้ให้ หรือเป็นสถานที่ที่เทวดาประทานพรทั้งหลายให้ 
		ซึ่งตามธรรมดาบุคคลชอบสิ่งที่เจริญหรือเป็นมงคล 
		จึงต้องการให้ชื่อเมืองเป็นมงคลนาม เป็นที่รวมแต่สิ่งที่เป็นมงคลทั้งหลาย 
		ต่อมาได้เรียกผิดเพี้ยนไปคงเหลือแต่ชุมพร เพราะคนไทยทางใต้ชอบเรียกคำสั้น ๆ 
		ตามความหมายที่มาจากคำว่า 
		ประชุมพร 
		
		          
		
		เมื่อได้ทราบประวัติความเป็นมาทั้งสามประการแล้วจะเห็นได้ว่า 
		คำว่าประชุมพรนั้นมีเหตุผลทางประวัติศาสตร์สมกับที่จารึกไว้ว่า 
		ชาวชุมพรมีน้ำใจเป็นนักรบ เพราะการตั้งชื่อเมืองหรือการตั้งชื่อใด ๆ ก็ตาม 
		ย่อมจะมีความหมายสำคัญในชื่อที่ตั้งนั้น 
		ส่วนที่ว่าชุมพรมาจากคำว่ามะเดื่อชุมพรนั้นหรือมาจากเทวดาประชุมพรให้ก็ดี 
		สันนิษฐานว่ามาคิดค้นหาเหตุผลภายหลังไม่มีความหมายตรงตามประวัติศาสตร์ 
		
		 ประวัติอาณาเขต 
		
		          
		
		เมืองชุมพรมีศักดิ์เป็นเมืองตรี จึงมีเมืองเล็ก ๆ  
		
		เป็นเมืองขึ้น   
		
		เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็น 
		
		
		พระยาชุมพรตามนามของเมืองในสมัยโบราณ 
		มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมีอาณาเขตจดทะเลทั้งสองข้าง 
		ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจดเมืองตะนาวศรี ทิศเหนือจดเมืองกำเนิดนพคุณ 
		ทิศใต้จดเมืองไชยา ทิศตะวันออกจดอ่าวไทย ทิศตะวันตกจดมหาสมุทรอินเดีย 
		มีเมืองขึ้นในครั้งนั้น ๗ เมือง คือ เมืองปะทิว เมืองท่าแซะ เมืองตะโก 
		เมืองหลังสวน เมืองตระ 
		(อำเภอกระบุรีในปัจจุบัน)
		
		เมืองมะลิวัน เมืองระนอง ภายหลังได้รวมเอาเมืองกำเนิดนพคุณ 
		(อำเภอบางสะพานในปัจจุบัน)
		
		มาขึ้นด้วย 
		ส่วนเมืองตะโกเดิมต่อมาได้ยุบเป็นตำบลขึ้นต่ออำเภอสวี 
		ปัจจุบันเป็นกิ่งอำเภอทุ่งตะโก 
		เมืองขึ้นเหล่านี้ในครั้งหลังได้ถูกตัดแยกออกไปตั้งเมืองใหม่บ้าง 
		ด้วยเหตุอื่นบ้าง จึงทำให้อาณาเขตของชุมพรลดน้อยลงไปตามลำดับ 
		เฉพาะเมืองที่ตัดแยกออกไปอยู่ในปกครองของจังหวัดอื่น มีประวัติดังต่อไปนี้ 
		
		(1)                    
		
		เมืองมะลิวัน 
		
		ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 
		อังกฤษได้มาปกครองเมืองตะนาวศรีและ
		
		เมืองมะริด 
		ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยในครั้งก่อน อังกฤษขอปันเขตแดนระหว่างไทยกับอังกฤษ 
		ณ เมืองมะลิวัน โดยกำหนดให้แม่น้ำกระบุรีเป็นเขตแดนฝ่ายไทย 
		ส่วนเขตแดนอังกฤษอยู่เพียงแนวเขาเป็นเขต โดยถือเอาแม่น้ำปากจั่นเป็นฝ่ายไทย 
		จึงโปรดเกล้าให้พระยายมราชสุด 
		(จ๋อ)
		
		กับพระยาเพชรกำแหงสงคราม(ครุฑ)
		
		ไปเจรจากับอังกฤษ แต่ไม่เป็นที่ตกลง จนถึงรัชกาลที่ ๔ 
		โปรดให้พระยาเพชรบุรี พระยาเพชรกำแหงสงคราม และพระยาชุมพร 
		(กล่อม)
		
		ไปเจรจาปันเขตแดน ด้วยทรงพระราชดำริเห็นว่า ความเรื่องนี้ ๒ 
		แผ่นดินแล้วยังไม่ตกลงกันได้ควรประนีประนอมผ่อนผัน 
		จึงให้กรรมการปันเขตแดนทั้ง ๒ ท่านทำความตกลงเอง 
		โดยถือเอาแม่น้ำกระบุรีเป็นเขตแต่มีข้อสัญญาปลีกย่อยเรื่องโจรผู้ร้ายข้ามแดนอังกฤษ 
		เมืองมะลิวันซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นชุมพรและเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย 
		จึงตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษด้วยความจำเป็น เมื่อปีชวดพุทธศักราช ๒๔๐๗ 
		เมืองมะลิวันเมื่อขึ้นอยู่กับอังกฤษตั้งชื่อว่า 
		Victoria Point  ไทยเรียกว่าเกาะสอง 
		ขณะนี้เป็นอำเภอชั้นเอก ขึ้นอยู่กับเขตทวาย จังหวัดมะริด 
		ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า 
		
		(2)                    
		
		เมืองระนอง 
		
		
		เมืองระนองแต่เดิมเป็นเมืองแขวง 
		(ปัจจุบันเทียบเท่ากับอำเภอ)
		
		ขึ้นต่อเมืองชุมพรเมื่อปีขาลพุทธศักราช ๒๓๙๗ ในรัชกาลที่ ๔ 
		แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตำแหน่งเจ้าเมืองว่างลงจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
		พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนบรรดาศักดิ์หลวงรัตนเศรษฐี 
		(คอซู้เจียง 
		ต้นตระกูล ณ ระนอง)
		
		ขึ้นเป็นพระรัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนอง 
		แต่ยังเป็นเมืองขึ้นของชุมพรอยู่ ต่อมาเมื่อปีจอ พ.ศ.
		
		๒๔๐๕ 
		(จ.ศ.๑๒๒๔)
		
		พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
		เลื่อนบรรดาศักดิ์พระรัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนองขึ้นเป็นพระยารัตนเศรษฐีและยกฐานะเมืองระนองขึ้นมีศักดิ์เป็นเมืองจัตวา 
		ขึ้นต่อกรุงเทพมหานคร ครั้นปี พ.ศ.
		
		๒๔๕๙ 
		
		เปลี่ยนชื่อมาเป็นจังหวัดระนองจนกระทั่งทุกวันนี้ 
		
		(3)                    
		
		เมืองตระ 
		
		
		เมืองตระปัจจุบันเรียกว่าอำเภอกระบุรี ขึ้นกับจังหวัดระนอง 
		แต่เดิมเมืองตระเป็นเมืองเล็กขึ้นต่อเมืองชุมพร เมื่อปีจอ พุทธศักราช ๒๔๐๕ 
		ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
		ให้ยกเมืองตระกับเมืองระนองเป็นเมืองจัตวาขึ้นต่อกรุงเทพฯ 
		โดยแยกเมืองตระให้ไปขึ้นกับเมืองระนองที่ตั้งใหม่ 
		เมืองตระจึงแยกจากเมืองชุมพรแต่นั้นมา 
		
		(4)                    
		
		เมืองกำเนิดนพคุณ 
		
		เมืองกำเนิดนพคุณ สมัยก่อนเป็นตำบลเล็กๆ 
		ขึ้นต่อเมืองกุยบุรีในสมัยอยุธยา พ.ศ.
		๒๒๙๐ (จ.ศ.
		๑๑๐๙) ได้พบแร่ทองคำในตำบลนี้ 
		ภายหลังในปีพ.ศ. ๒๓๙๒ 
		ในรัชกาลที่ ๓ ทรงตั้งเป็นเมืองชื่อว่าเมืองกำเนิดนพคุณ 
		ซึ่งหมายถึงเมืองที่มีแร่ทองคำ ต่อมาได้มาขึ้นอยู่กับเมืองชุมพร 
		เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. 
		๒๔๔๙ (ร.ศ.
		๑๒๕ ) มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ 
		ให้รวมเมืองประจวบคีรีขันธ์ เมืองปราณบุรี 
		ซึ่งแต่เดิมเป็นอำเภอขึ้นเมืองเพชรบุรี และเมืองกำเนิดนพคุณ 
		ซึ่งเป็นอำเภอขึ้นเมืองชุมพร รวม ๓ เมืองเป็นเมืองเดียวกัน 
		โดยโอนท้องที่เมืองกำเนิดนพคุณมารวมกับเมืองปราณบุรี เมืองประจวบคีรีขันธ์ 
		ตั้งเป็นเมืองจัตวาอีกเมืองหนึ่ง เรียกว่า "เมืองปราณบุรี"
		ขึ้นกับมณฑลราชบุรี 
		ต่อมาเมืองปราณบุรีได้เปลี่ยนเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 
		และเมืองกำเนิดนพคุณมีชื่อว่าอำเภอบางสะพาน 
		โดยมีอาณาเขตหลักคือเขาไชยราชเป็นที่แบ่งเขตแดนระหว่างชุมพร (อำเภอปะทิว)
		กับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มาจนทุกวันนี้ 
		ประวัติเหตุการณ์สำคัญ
		
		          
		
		โดยเหตุที่เมืองชุมพรเป็นเมืองหน้าด่านมาแต่โบราณ 
		โดยเฉพาะในการสงครามกับพม่า 
		และมีส่วนร่วมในการปราบปรามภายในราชอาณาเขตหลายครั้งหลายหน จึงเชื่อว่า 
		ชาวชุมพรมีน้ำใจเป็นนักรบซึ่งบางเรื่องก็ได้กล่าวมาข้างต้นบ้างแล้วแต่อย่างไรก็ดียังมีการสงครามเกี่ยวกับชุมพรอีกหลายครั้ง 
		ซึ่งควรจะนำมากล่าวไว้ ณ 
		ที่นี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวชุมพรในอนาคตจึงได้รวบรวมประวัติการสงครามและการรบ 
		ซึ่งเมืองชุมพรมีส่วนร่วมในสมัยอยุธยา ธนบุรี 
		และรัตนโกสินทร์ตามที่ปรากฏในพงศาวดารโดยสังเขปมากล่าวไว้ ณ ที่นี้ด้วย 
		
		สมัยอยุธยา
		
		๑.ในแผ่นดินของสมเด็จพระมหาบุรุษ 
		(สมเด็จพระเพทราชา)
		
		เมื่อปีขาลอัฐศก พ.ศ.
		
		๒๒๒๙ 
		(จ.ศ.๑๐๔๘ 
		)เจ้าพระยานครศรีธรรมราชเป็นขบถแข็งเมืองจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ 
		ให้พระยาสุรสงครามเป็นแม่ทัพบก 
		พระยาราชวังสันเป็นแม่ทัพเรือคุมกองทัพไปปราบปรามเมืองนครศรีธรรมราช 
		ในทางกองทัพบกได้ยาตราทัพผ่านมาทางเมืองชุมพร 
		และได้เกณฑ์เอาผู้รั้งเอากรมการเมืองชุมพร 
		เมืองไชยาถือพลหัวเมืองทั้งปวงเข้ามาบรรจบทัพบกไปราชการสงครามนั้นด้วย 
		
		          
		๒.
		
		เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๐๗ ปีจอ ฉศก จ.ศ.
		
		๑๑๒๖ ในแผ่นดินพระบรมราชาที่ ๓ 
		(พระที่นั่งสุริยามรินทร์)พระเจ้าอังวะมังระแห่งกรุงพุกามประเทศได้จัดกองทัพพลฉกรรจ์สองหมื่นห้าพันคนมาตีกรุงศรีอยุธยาจัดทัพใหญ่แยกเป็น 
		๒ ทัพไปทางเหนือทัพหนึ่งให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพไปทางใต้ทัพหนึ่ง 
		ให้มังมหานรธาโบชุกเป็นแม่ทัพ ถือพลหนึ่งหมื่นห้าพันยกมาตีเมืองทวาย มะริด 
		และตะนาวศรี หุยตองจาเจ้าเมืองทวายสู้ไม่ได้หนีไปทางเมืองกระแล้วไปอาศัยอยู่ในเมืองชุมพร 
		ทัพพม่ายาตราทัพตามลงมาไปตีได้เมืองชุมพร 
		แล้วเผาเมืองชุมพรเสียครั้นแล้วยกไปตีเมืองปะทิว เมืองกุย เมืองปราณแตก 
		ทั้งสามเมือง แล้วยกกลับเมืองทวาย 
		
		สมัยธนบุรี 
		
		          
		เมื่อ 
		พ.ศ.
		
		๒๓๑๗ ปีกุน นพศก 
		(จ.ศ.
		
		๑๑๒๙)
		
		
		หลวงนายสิทธิ์เป็นที่พระปลัดว่าราชการเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ 
		ยังหาได้ตั้งเจ้าเมืองไม่ ครั้นทราบว่ากรุงเทพฯ เสียแก่พม่าข้าศึก 
		จึงตั้งตัวเป็นเจ้าครองเมืองนครศรีธรรมราช คนทั้งหลายเรียกว่า เจ้านคร 
		มีอาณาเขตแผ่ไปข้างนอกถึงแดนเมืองแขกข้ามไปถึงเมืองชุมพร ปะทิว 
		แบ่งแผ่นดินออกไปอีกส่วนหนึ่งและแต่งตั้งขุนนางตามตำแหน่ง เหมือนในกรุงเทพฯ 
		ทุกอย่าง 
		
		          
		
		ครั้นถึง 
		
		พ.ศ.
		
		๒๓๑๒ ปีฉลูเอกศก 
		(จ.ศ.
		
		๑๑๓๑)
		
		หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ข้าศึก 
		และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทำการกู้อิสรภาพได้และได้สถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ 
		แล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรีแยกเป็นแม่ทัพกับพระยายมราช 
		พระยาศรีพิพัฒน์ พระยาเพชรบุรี 
		ถือพลห้าพันพร้อมด้วยช้างม้าเครื่องสรรพาวุธยกไปตีเมืองนครศรีธรรมราช 
		ยกกองทัพไปทางเมืองเพชรบุรีไปถึงเมืองปะทิว 
		ชาวเมืองชุมพรยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น 
		และนายมั่นคนหนึ่งได้พาสมัครพรรคพวกเข้ามาหาแม่ทัพขอสวามิภักดิ์เป็นข้าราชการ 
		เจ้าพระยาจักรีจึงบอกมาให้กราบทูล จึงมีพระ-ราชดำรัสโปรดให้มีตราตั้งให้นายมั่นเป็นพระชุมพร 
		(เจ้าเมืองชุมพร)
		
		
		ให้เกณฑ์เข้าในกองทัพด้วยแต่คราวนั้นเข้าตีเมืองนครศรีธรรมราชไม่สำเร็จต่อเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยาตราทัพเรือมาช่วยจึงตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ 
		
		สมัยรัตนโกสินทร์
		
		          
		๑.
		
		เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๒๘ ปีมะเส็งสัปตศก 
		(จ.ศ.
		
		๑๑๔๗)
		
		ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่าจัดกองทัพใหญ่มีพลหนึ่งแสนสามพันคน 
		แบ่งออกเป็นหลายกองทัพเข้ามาย่ำยีประเทศไทยจากเหนือมาใต้ 
		ตั้งแต่เมืองเชียงใหม่ตลอดมาจนถึงเมืองถลาง 
		(ภูเก็ต)
		
		ทางภาคใต้ได้ยกกองทัพมาพร้อมกัน ณ เมืองมะริด แกงหวุ่นแมงญีเป็นแม่ทัพใหญ่ 
		ให้กีหวุ่นเป็นแม่ทัพเรือไปตีเมืองถลางให้เนยโยตุงนรัตเป็นแม่ทัพบกยกมาทางเมืองกระ 
		เมืองระนองเข้าตีเมืองชุมพร เมื่อแกงหวุ่นแมงญีแม่ทัพใหญ่หนุนมาสองทัพ 
		เป็นคนเจ็ดทัพ ทัพหน้ายกเข้าตีเมืองชุมพร 
		เจ้าเมืองกรมการเมืองมีไพร่พลน้อยเห็นจะต่อรบไม่ได้จึงเทครัวหนีเข้าป่า 
		ทัพพม่าเข้าเมืองได้ เผาเมืองชุมพรเสีย กองทัพพม่าก็ล่องออกไปตีเมืองไชยา 
		แม่ทัพใหญ่ยังตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองชุมพร 
		ครั้งนั้นทัพหลวงยังหายกทัพออกมาช่วยไม่ได้ 
		ด้วยราชการศึกยังติดพันอยู่ทางเมืองกาญจนบุรี 
		เมื่อเจ้าเมืองกรมการเมืองได้ทราบข่าวเมืองชุมพรเสียแล้วก็มิได้สู้รบยกครัวหนีเข้าป่าไป 
		ทัพพม่าเข้าเผาเมืองไชยาแล้วก็ยกเลยไปตีเมืองนครศรีธรรมราช 
		และยึดเมืองไว้เมื่อเสร็จศึกพม่าทางด้านเมืองกาญจนบุรีแล้ว 
		จึงมีพระราชดำรัสให้พระอนุชาธิราช สมเด็จพระนครราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกกองทัพเรือ 
		พลรบพลแจวสองหมื่นเศษไปช่วยหัวเมืองปักษ์ใต้ 
		เมื่อทัพเรือมาถึงเมืองชุมพรก็ยกพลขึ้นบกตั้งค่ายหลวง ณ เมืองชุมพร 
		จัดกองทัพใหญ่ไปตั้งอยู่ ณ เมืองไชยา 
		กองทัพไทยกับกองทัพพม่าได้สู้รบกันใหญ่ทางเมืองไชยา 
		พม่าสู้ไม่ได้แตกหนีกระจัดกระจายไป 
		และการรบครั้งนี้พม่าถูกจับเป็นเชลยส่งมายังกรุงเทพฯ มากมาย 
		
		          
		๒.
		
		เมื่อพ.ศ.
		
		๒๓๒๙ ปีมะเมีย อัฏฐศก 
		(จ.ศ.
		
		๑๑๔๘)
		
		ในรัชกาลที่ ๑ พม่ายกกองทัพเข้าไปตีเมืองนครศรีธรรมราช 
		ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท 
		ยกกองทัพไปต่อสู้กับพม่า ผ่านไปทางเมืองชุมพร 
		แล้วกองทัพไทยได้ตีกองทัพพม่าแตกหนีไปสิ้น 
		
		          
		๓.
		
		เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๓๖ ปีฉลู 
		(จ.ศ.
		
		๑๑๕๕)
		
		ในรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกกองทัพไปตีเมืองมะริด 
		และมาตั้งทัพต่อเรือรบอยู่ริมทะเลหน้านอกเขตแขวงเมืองชุมพร 
		(เมืองระนอง)
		
		เมื่อต่อเรือเสร็จแล้วได้ยาตราทัพตีเมืองมะริด 
		เมืองตะนาวศรี 
		มีชัยชนะจวนจะได้อยู่แล้วก็พอดีมีพระราชโองการให้นำกองทัพกลับกรุงเทพฯ 
		เสียก่อน 
		
		          
		๔.
		
		เมื่อพ.ศ.
		
		๒๓๓๘ ปีเถาะ 
		(จ.ศ.
		
		๑๑๕๗)  
		
		ในรัชการที่ ๑ 
		
		พม่าข้าศึกได้ยกกองทัพเรือไป 
		
		
		ย่ำยีฝั่งทะเลตะวันตกและตีได้เมืองถลาง จึงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
		ให้เจ้าพระยาพลภาพ 
		(บุนนาค)
		
		เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพเรือมาขึ้นบกที่เมืองชุมพร 
		เดินทัพทางบกไปยังเมืองถลาง ตีได้เมืองถลางคืน 
		กองทัพพม่าแตกหนีไปและจับพม่าเป็นเชลยมากมาย 
		
		          
		๕.
		
		เมื่อพ.ศ.
		
		๒๓๕๒ ปีมะเส็ง เอกศก 
		(จ.ศ.
		
		๑๑๗๑)
		
		ในรัชกาลที่ ๒ พระเจ้าปดุงแห่งประเทศพม่าได้ให้อะเติ่งวุ่นเป็นแม่ทัพยกมาตั้งเมืองทวายแล้วให้แยมองเป็นแม่ทัพเรือไปตีเมืองถลางให้คุเรียสาระภะยอคุมพลสามพันขึ้นที่เมืองระนองตีเมืองมะลิวัน   
		
		เมืองระนองและเมืองกระบุรี  
		
		คุเรียง 
		
		
		สาระกะยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่ปากจั่นแขวงเมืองกระบุรีและเข้าเมืองชุมพรได้เมื่อวันเสาร์เดือนสิบสอง 
		ขึ้นสิบสองค่ำ 
		ยังไม่ทันที่จะตีต่อไปที่อื่นก็พอดีมีพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระอนุชาธิราชกรมพระราชวัง-บวรมหาเสนานุรักษ์เป็นจอมพลยกกองทัพไปสู้กับพม่า 
		กองทัพไทยได้ยกมาทางบกเมื่อมาถึงเมืองชุมพร 
		พม่ากำลังตั้งค่ายรักษาเมืองอยู่ 
		สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ให้พระยาจ่าแสนยากร 
		(บัว)
		
		เข้าตีกองทัพพม่าที่เมืองชุมพร 
		พม่าต้านทานไม่ได้ก็แตกหนีไปกองทัพไทยได้เข้าฟันพม่าและตามจับได้ที่เมืองชุมพรและเมืองตะกั่วป่าเป็นอันมาก 
		กองทัพหลวงที่ยกมาคราวนี้ยังคงอยู่ในที่เมืองชุมพรเป็นเวลานานและได้ส่งกองทัพออกไปปราบปรามทำลายกองทัพพม่าจนหมดสิ้นจึงได้ยกกองทัพกลับกรุงเทพมหานคร 
		
		          
		๖.
		
		เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๖๗ ปีวอก 
		(จ.ศ.
		
		๑๑๘๖)
		
		ในรัชกาลที่ ๓ ไทยได้เข้าร่วมกับอังกฤษเพื่อรบพม่า 
		จึงทรงให้จัดกองทัพให้พระยามหาโยธาคุมกองทัพหนึ่ง พระสุรเสนา พระยาพิพัฒน์โกษาทัพหนึ่งไปทางด่านเจดีย์สามองค์  
		
		และได้มีตราสั่งให้เกณฑ์กองทัพเมืองชุมพร   
		
		เมืองไชยา  
		
		โปรดเกล้าฯ 
		
		ให้ 
		
		พระยาชุมพร 
		(ซุย)
		
		
		คุมกองทัพเรือยกขึ้นไปทางเมืองมะริดและเมืองทวายอีกพวกหนึ่งเพื่อไปจัดทัพฟังข้อราชการว่าศึกจะผันแปรประการใด 
		ต่อมาพระยาชุมพรคุมเรือรบเก้าลำขึ้นไปจับพม่าถึงปากน้ำเมืองทวาย 
		ได้ครัวพม่า ๗๐ ครัวเศษ ส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เวลานั้นอังกฤษตีได้เมืองทวาย 
		เมืองตะนาวศรี และเมืองมะริด แล้วทรงดำริว่า 
		ลักษณะสงครามทางเมืองพม่าผันแปรไป 
		เดิมคิดว่าผู้คนพม่าจะเป็นข้าศึกต่อสู้กับไทยกลับไปเป็นข้าศึกพม่าอ่อนน้อมต่อไทยบ้างต่ออังกฤษบ้าง 
		จะเอากำลังไปกวาดต้อนครอบครัวในฐานะเป็นข้าศึกก็ไม่สมควรจึงจัดกองทัพไปสมทบอีกเพื่อฟังเหตุการณ์ต่อไป 
		
		          
		
		เมื่อเดือนยี่ปีวอก พ.ศ.
		
		๒๓๗๖ นายพันตรีปริม คุมทหารรักษาเมืองมะริด 
		ได้ทราบความว่ามีกองทัพเรือไทยไปเที่ยวต้อนจับคนในเมืองมะริด 
		จึงแต่งตั้งให้นายร้อยโทเครเวอ 
		คุมทหารลงเรือไปสืบความไปพบเรือไทยอยู่ห่างเมืองมะริดทางสัก ๓ ชั่วโมง 
		เป็นเรือขนาดใหญ่ มีกันเชียง ตีลำละ ๖๐ ถึง ๘๐ กรรเชียง อยู่ด้วยกันประมาณ 
		๓๐ ลำ นายร้อยโทเครเวอ 
		จึงให้ยกธงอังกฤษกับธงขาวขึ้นเป็นสัญญาณเรือรบไทยจึงยกธงตอบแล้วรออยู่ 
		นายร้อยโทเครเวอ ไปพบนายทัพไทย คือ พระยาชุมพร(ซุย)
		
		จึงบอกว่าอังกฤษตีเมืองมะริดได้แล้ว 
		ขอให้ปล่อยพวกเมืองมะริดที่จับมา นายทัพไทยชี้แจงว่าไม่ทราบว่าอังกฤษตีได้ 
		รับว่าพรุ่งนี้จะปล่อยเชลย ๔๐๐ คนที่จับได้มา 
		แต่ต้องขอหนังสือสำคัญของเจ้าเมืองมะริดเพื่อจะบอกไปทางกรุงเทพฯ อยู่ต่อมา 
		๓ วัน กองทัพไทยได้ส่งเชลยให้ ๙๐ คนคืนนั้น เรือรบไทยก็ออกจากเมืองมะริดหมด 
		อังกฤษติดตามพบเรือรบไทยหลงอยู่ ๖ ลำ จึงจับเรือและคนรวม ๑๔๕ คน 
		มีพระเทพชัยบุรินทร์ เจ้าเมืองท่าแซะเป็นหัวหน้าเอาไปไว้เมืองมะริด 
		ว่าถ้าคนไทยส่งเชลยเมืองมะริดคืนให้หมดเมื่อใดจึงจะปล่อย 
		อังกฤษได้ร้องเรียนไปกรุงเทพฯ 
		เพื่อทรงทราบเห็นว่าพระยาชุมพรละเมิดท้องตราที่ได้สั่งไปครั้งหลังจึงให้หาพระยาชุมพร 
		(ซุย)
		
		เข้ามาถอดเสียจากตำแหน่งแล้วไว้ ณ กรุงเทพฯ 
		เพราะมีความผิดไปตีครัวชาวมะริดของอังกฤษ เขามาตามขอดี ๆ 
		ไม่ได้สู้รบกันก็แพ้เขา ทำให้เสียพระเกียรติยศต่อมาพระยาชุมพร 
		(ซุย)
		
		ได้ถึงแก่กรรมที่กรุงเทพฯ 
		
		          
		๗.
		
		เมื่อ ๘ ธันวาคม พ.ศ.
		
		๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นที่ปากน้ำอำเภอเมืองชุมพร 
		เพื่อจะเดินทางไปยึดครองประเทศพม่าตามแผนการ 
		จึงได้เกิดการสู้รบกันขึ้นกับชาวเมืองชุมพร อันมียุวชนทหารตำรวจ ทหารบก 
		ข้าราชการพลเรือนและประชาชนผู้รักชาติ หลังจากสู้รบกันอยู่ ๕ ชั่วโมงเศษ 
		ประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นได้ตกลงทำสัญญาร่วมรบกัน 
		จึงได้หยุดการสู้รบและกองทัพญี่ปุ่นก็ได้รับอนุญาตให้เดินทัพผ่านไปยังเมืองพม่าได้สะดวก 
		ในระหว่างสงครามคราวนี้เมืองชุมพรถูกทำลายโดยเครื่องบินของศัตรูญี่ปุ่นอย่างมาก 
		อาคารของทางราชการ เช่น สถานีตำรวจ อาคารต่าง ๆ 
		ของกรมรถไฟตลอดจนบ้านเรือนทรัพย์สินของราษฎร 
		ชีวิตของประชาชนสูญเสียเป็นอันมาก 
		
		          
		
		เฉพาะการสงครามระหว่างไทยกับพม่าที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดชุมพรมีหลายครั้ง 
		นับเป็นประวัติสำคัญอันหนึ่ง 
		เฉพาะหมู่บ้านและตำบลบางแห่งได้มีนามเนื่องมาจากสงครามในครั้งนั้นเล่ากันต่อมาควรจะกล่าวไว้บ้างคือ 
		ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ 
		ครั้งหนึ่งกองทัพพม่าได้เดินทัพผ่านมาทางตำบลดังกล่าวก็รอทัพไว้ 
		จึงเรียกนามตำบลนี้ว่า 
		ตำบลทัพรอ 
		แต่ต่อ ๆ 
		มาได้เรียกเพี้ยนไปเป็นตำบลรับรอ อันเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอท่าแซะ 
		มาจนทุกวันนี้ ตำบลท่าแซะ หมู่ที่ ๗ 
		เรียกบ้านหนองโคลนเดินเมื่อกองทัพพม่ายกมาเคยได้สู้รบกับกองทัพไทย ณ 
		ตรงนี้จนมากลายเป็นโคลน ชาวบ้านจึงเรียกว่าบ้านโคลน 
		
		          
		
		ตำบลแหลมทราย หมู่ที่ ๑ อำเภอหลังสวน มีชื่อว่าบ้านทัพยอ 
		มีประวัติเล่ากันว่า เมื่อสมัยกองทัพพม่า ซึ่งมีคุเรียงสะระภะยอเป็นแม่ทัพในราว 
		พ.ศ.
		
		๒๓๕๒ 
		เมื่อตีเมืองชุมพรได้แล้วได้ยกกองทัพไปพักอยู่ที่เมืองหลังสวน 
		ภายหลังหมู่บ้านที่กองทัพพม่าตั้งอยู่ที่นี้ได้ชื่อว่า 
		บ้านคุเรียงสะระภะยอ
		
		ต่อมาเรียกสั้นลงไปว่า 
		บ้านทัพยอ
		
		มาจนทุกวันนี้ 
		
		          
		
		ในท้องที่อำเภอเมืองชุมพร หมู่ที่ ๒ ตำบลตากแดด 
		มีบ้านหนึ่งเรียกว่าบ้านหัวครู ซึ่งขณะนี้ยังมีคูใหญ่เหลืออยู่เล่ากันว่า 
		เมื่อพม่าเข้าตีได้เมืองชุมพร และเผาเมืองชุมพรราวปี พ.ศ.
		
		๒๓๐๗ ได้จับเชลยคนไทยได้ และกำลังจะเผาที่คูนี้ 
		
		
		แต่ขณะนั้นบังเอิญฝนตกหนักจึงไม่สามารถเผาได้เชลยคนไทยจึงรอดตายและเมื่อฝนตกหนักกองทัพพม่าซึ่งได้ยกทัพมาเป็นส่วนมากใช้ม้าและพาหนะจึงเปียกฝนด้วย 
		หลังจากฝนหายแล้วพม่าจึงเอาม้าออกตากแดด ท้องที่ดังกล่าวแล้ว 
		จึงมาภายหลังเรียกว่า 
		ตำบลตากแดด 
		
		และที่คูนั้นเรียกว่าบ้านหัวคู มาจนทุกวันนี้ ในตำบลวังไผ่ หมู่ที่ ๘ 
		มีที่แห่งหนึ่งเรียกว่า 
		หาดพม่าตาย 
		
		เล่ากันว่าเมื่อสมัยกองทัพพม่ายกกองทัพมาตีเมืองชุมพรได้มาพักแรมที่ตรงนี้ 
		และได้ใช้ใบ 
		
		ตะลังตังช้าง 
		(เป็นใบไม้ที่คันและมีพิษ)
		
		รองนอนเพราะไม่รู้ว่ามีพิษ เมื่อนอนเกิดคันและร้อน 
		จึงวิ่งลงไปแช่น้ำ จึงตายลงเป็นอันมากจึงขนาดนามว่าหาดพม่าตายมาจนทุกวันนี้ 
		
		 ประวัติคอคอดกระ 
		
		          
		
		ความสำคัญเป็นพิเศษของชุมพรยังมีอีกประการหนึ่งซึ่งควรกล่าวไว้ ณ ที่นี้คือ 
		คอคอด อยู่ระหว่างอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร กับอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง 
		เรียกกันว่า 
		คอคอดกระ 
		
		เป็นส่วนแคบที่สุดของแหลมมลายู 
		เคยเป็นทางผ่านสำหรับเดินตัดข้ามมาจากทะเลตะวันตกมาทะเลตะวันออกในสมัยโบราณ 
		ระยะทางตอนที่แคบประมาณ ๕๐ กิโลเมตร 
		
		          
		
		เรื่องของคอคอดกระ เป็นเรื่องที่ทั่วโลกรู้จักกันมานานแล้ว 
		และเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศสำหรับประเทศไทยเริ่มสนใจคอคอดกระในสมัยรัชกาลที่ 
		๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏตามตำนานเมืองระนองตอนหนึ่งความว่า เมื่อปีชวด 
		พ.ศ.
		
		๒๔๐๙ รัฐบาลมีข้อวิตกขึ้น 
		เนื่องด้วยในปัจจุบันฝรั่งเศสขุดคลองสุเอชในประเทศอียิปต์สำเร็จ 
		ฝรั่งเศสคิดหาที่ขุดคลองทำนองเดียวกันในประเทศอื่นต่อไป 
		จึงคิดจะขุดคลองจากเมืองกระบุรีออกมาเมืองชุมพร 
		เพื่อให้เป็นทางเรือจากยุโรปไปเมืองจีนโดยไม่ต้องอ้อมแหลมมลายูไปทางสิงคโปร์ 
		และเรียกว่า 
		คลองตระ 
		
		ความคิดของฝรั่งเศสในเรื่องคลองตระนั้น เป็นเรื่องลืออื้อฉาว 
		แต่ยังไม่ปรากฏในทางราชการว่า รัฐบาลฝรั่งเศสจะสนับสนุนสักเพียงใด 
		แต่ฝ่ายไทยคิดเห็นว่า ถ้าฝรั่งเศสมีอำนาจถึงได้ขุดคลองตระในครั้งนั้น 
		คงจะมีผล ๒ อย่างคือ อาจถือโอกาสให้เสียดินแดนทางด้านแหลมมลายูประการหนึ่ง 
		และไทยต้องแสดงให้อังกฤษ 
		เชื่อว่าไทยมิได้สนับสนุนฝรั่งเศสในเรื่องการขุดคลองนั้น 
		
		          
		
		หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ อังกฤษได้เรียกร้องให้ไทย 
		ยอมรับข้อกำหนดบางประการที่ทำให้ทรัพย์สินสูญหายไปในระหว่างสงครามได้กลับคืนมาและป้องกันมิให้เกิดสงครามขึ้นในอนาคต 
		หรือที่เรียกกันว่า  
		
		ความตกลงสมบูรณ์ระหว่างรัฐบาลไทยฝ่ายหนึ่ง    
		
		กับรัฐบาลสหราชอาณาจักรและ 
		
		
		รัฐบาลอินเดียฝ่ายหนึ่ง ซึ่งทำกัน ณ สิงคโปร์ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๙ 
		ข้อ ๗ มีความว่า รัฐบาลไทยจะไม่ตัดคลองข้ามอาณาเขตไทย 
		เชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทย โดยรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเห็นพ้องด้วยกัน 
		
		          
		
		การเลือกสถานที่ขุดคลองตอนที่แคบที่สุดของแหลมมลายูตอนนี้มีเทือกเขาสูงกั้นทางเหนือมีภูเขาเตี้ยทางใต้จากเมืองชุมพรถึงปากน้ำปากจั่น 
		ที่เมืองกระ ลำน้ำตอนที่เมืองกระตื้น เรือยนต์ 
		เรือกลไฟขนาดที่เดินในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเดินทางได้เมื่อน้ำขึ้น 
		และเป็นเช่นนี้ตลอดไปจนถึงตำบลทับหลี เรือขนาดเล็กเดินทางได้ทุกเวลา 
		จากทับหลีลงไป แม่น้ำกว้างออกไปเป็นลำดับ 
		เรือกลไฟต้องเดินตามลำน้ำปากจั่นประมาณ ๑๐ ชั่วโมง 
		ไปออกทะเลที่หน้าเมืองระนอง 
		อังกฤษถือลำน้ำปากจั่นเป็นที่กั้นเขตแดนระหว่างไทยกับอังกฤษ 
		(หรือพม่า)
		
		
		ถ้าจะขุดคลองต้องอาศัยน้ำปากจั่นเป็นทางเดินขึ้นไปจนถึงเมืองกระแล้วจึงขุดคลองที่ช่องเขาข้ามมาชุมพร 
		และจำเป็นต้องขุดลำน้ำปากจั่นให้ลึกและกว้างจนเรือกำปั่นใหญ่เดินได้ 
		การขุดลำน้ำปากจั่นจำต้องขุดในดินแดนของอังกฤษด้วย 
		เพราะแนวศูนย์กลางอยู่กลางลำน้ำปากจั่น 
		ถ้าอังกฤษไม่ยอมให้ขุดก็เป็นอันขุดคลองกระไม่ได้ 
		ถ้าไม่ขุดที่คลองกระจะเลื่อนลงไปขุดด้านใต้ 
		เช่นที่เมืองระนองก็เป็นเทือกเขาสูงทั้งนั้น เพราะความขัดข้องมีอยู่เช่นนี้ 
		ฝรั่งเศสซึ่งมีความปรารถนาจะขุดคลองกระครั้งหนึ่งจึงได้เลิกความพยายามแต่หากได้กล่าวแก้ว่าจะต้องตัดเทือกเขายากนักจึงไม่ขุด 
		
		 ที่มา
		: 
		
		ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดชุมพร.
		กรุงเทพฯ 
		: 
		อมรินทร์การพิมพ์ 
		, 
		๒๕๒๘. 
       |