ประวัติศาสตร์จังหวัดเชียงราย
๑.
สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา
ครั้นพ่อขุนเมงราย ประสูติแล้ว และเมื่อเจริญพระชันษาได้ ๒๑ พรรษา
ได้เสวยราชย์ครอบครองสมบัติ ที่เมืองหิรัญนครเงินยาง เมื่อ พ.ศ.
๑๘๐๒ พระองค์ให้เจ้าพระยามหานครทั้งหลายไปถวายบังคม
หากเจ้าเมืองขัดขืนก็แต่งตั้งกองทัพออกไปปราบปราม ตีได้เมืองมอบ เมืองไร
เมืองเชียง-คำ
แล้วปลดเจ้าผู้ครองนครเหล่านั้น แต่งตั้งขุนนางของพระองค์ครองเมืองนั้นแทน
ต่อมาหัวเมืองทั้งหลาย
เช่น
เมืองเชียงช้าง เป็นต้น
ก็พากันมาอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น เพราะเกรงเดชานุภาพ
ของพ่อ-ขุนเมงราย
เมื่อพ่อขุนเมงรายได้ทรงรวบรวมหัวเมืองฝ่ายเหนือในอาณาเขตรอบ ๆ ได้แล้ว จีงดำริจะทรงกรีฑาทัพไปแสดงฝีมือในด้านการยุทธต่อหัวเมืองฝ่ายใต้ลงมา
จึงไปรวมพล ณ เมืองลาวกู่เต้า เผอิญช้างมงคล
(ช้างพระที่นั่ง)
ของพระองค์ได้พลัดหายไป พ่อขุนเมงรายจึงเสด็จติดตามรอยช้างไปจนถึงดอยจอมทอง
ริมแม่น้ำกก เห็นภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์เป็นชัยภูมิที่ดี
จึงให้สร้างเมืองใหม่ขึ้น
โดยก่อปราการโอบเอาดอยจอมทองไว้ในท่ามกลางขนานนามเมืองว่า
"เมืองเชียงราย"
ใน พ.ศ.
๑๘๐๕ แล้วพ่อขุนเมงรายก็อพยพจากเมืองหิรัญนครเงินยางมาประทับอยู่
ณ เมืองเชียงราย ต่อมาอีก ๓ ปี พ่อขุนเมงรายก็ไปตั้งเมืองใหญ่ขึ้นอีกเมืองหนึ่ง
ณ ตำบลเมืองฝาง
(เมืองไชยปราการเดิม)
ต่อจากนั้นอีกหนึ่งปีก็ยกกองทัพไปตีเมืองผาแดงเชียงของ
เมื่อได้เมืองผาแดงเชียงของแล้ว กลับมาประทับ ณ เมืองฝางอีกประมาณ ๖ ปี
จึงได้ยกกองทัพไปตีเมืองเชิงแล้วก็ทรงกลับมาประทับเมืองฝางตามเดิม พ่อขุนเมงรายมีพระโอรส
๓ องค์ คือ ๑.
เจ้าเครื่อง
๒.
เจ้าราชบุตรคราม
๓.
เจ้าราชบุตรเครือ
เมืองฝางที่พ่อขุนเมงรายประทับอยู่ติดกับแว่นแคว้นลานนา
พ่อค้าวาณิชย์ชาวเมืองหริ-ภุญไชย
ไปมาค้าขายที่เมืองฝาง พ่อขุนเมงรายทราบว่าเมืองหริภุญไชยเป็นเมืองมั่งคั่งสมบูรณ์ก็อยากได้ไว้ในอำนาจ
ก็ทรงแต่งตั้งให้อ้ายฟ้า เข้าไปเป็นไส้ศึกอยู่ในเมืองหริภุญไชยในปี พ.ศ.
๑๘๑๘ และใน พ.ศ.
๑๘๒๔ พ่อขุนเมงรายก็ยกกองทัพมาตีเอาหริภุญไชยได้
จึงให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ คือขุนเครื่องไปครองเมืองเชียงราย
ขุนเครื่องหลงเชื่อถ้อยคำ ขุนใสเรืองคิดการกบฎ พ่อขุนเมงรายจึงให้อ้ายเผียนไปซุ่มดักยิงด้วยหน้าไม้ปืนยา
(หน้าไม้อาบยาพิษ)
ถูกขุนเครื่องตายแล้วใส่สถาปนาเจ้าราชบุตรคราม โอรสองค์ที่
๒ สืบราชสมบัติเมืองเชียงรายแทน
ใน พ.ศ.
๑๘๑๙ พ่อขุนเมงรายได้ยกกองทัพมาติดเมืองพะเยา
พระยางำเมืองเห็นว่าจะสู้ด้วยกำลังไม่ได้ จึงยกกองทัพออกไปรับปลายแดน
ต้อนรับด้วยไมตรี แล้วยกตำบลบ้านปากน้ำให้แก่พ่อขุนเมงราย
ซึ่งพระองค์ก็ทรงรับปฏิญาณเป็นมิตร ต่อมาอีก ๔ ปี พ่อขุนรามคำแหง พ่อขุนเมงราย
พระยางำเมือง ได้ทรงกระทำสัตย์ปฏิญาณต่อกัน
โดยทรงเอาโลหิตที่นิ้วพระหัตถ์ผสมกับน้ำสัตย์ เสวยทั้ง ๓
พระองค์ สัญญาว่าจะไม่เบียดเบียนกันตลอดชีวิต
ในปี พ.ศ.
๑๘๒๙ พ่อขุนเมงรายทรงสร้างเมืองใหม่ชื่อ เวียงกุมกาม
(ในท้องที่ อ. สารภี จ.
เชียงใหม่)
เป็นที่ประทับและในปีนั้นได้ยกกองทัพไปตีเมืองหงสาวดี พวกมอญยอม
อ่อนน้อมโดยดี ได้เครื่องราชบรรณาการและราชธิดามอญมาเป็นบาทบริจาริกา ในปี
พ.ศ. ๑๘๓๒
ได้ยกกองทัพไปตีเมืองพุกามของพม่าได้สำเร็จ
ได้พาเอาช่างฝีมือพม่ามาทำงานที่อาณาจักรลานนาไทยหลายสาขา ในปี พ.ศ.
๑๘๓๔ ได้พิจารณาสร้างเมืองใหม่ ณ บริเวณเชิงดอยสุเทพ
โดยมีพ่อขุนรามคำแหง และพระยา-งำเมือง
ช่วยวางผังเมืองให้สร้างเมืองเสร็จในปี พ.ศ.
๑๘๓๙ โดยขนานนามว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"
แล้วทรงทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เมงราย
และสถาปนาอาณาจักรลานนาไทย ต่อมาเมื่อ พ.ศ.
๑๘๖๐ พ่อขุนเมงรายมหาราชได้เสด็จประพาสตลาดในเมืองเชียงใหม่
ถูกอสนีบาต (ฟ้าผ่า)
สวรรคตลง
พระยาไชยสงคราม
(เดิมชื่อเจ้าราชบุตรครามได้รับสถาปนาเป็นพระยาไชยสงคราม)
เนื่องจากอาสาพระบิดายกทัพไปรบกับกองทัพของพระยาเบิก
เจ้าเมืองเขลางค์ จนมีชัยชนะ เมื่อได้จัดการถวายพระเพลิงพระศพพ่อขุนเมงรายมหาราชแล้ว
ได้สถาปนาให้พระยาแสนภูราชโอรสองค์ใหญ่พระชนมายุ ๔๑ พรรษา
ขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ.
๑๘๖๑ ส่วนพระยาไชยสงคราม กลับไปประทับที่เมืองเชียงราย พ.ศ.
๑๘๗๐ พระยาไชยสงครามสวรรคตพระยาแสนภู
จึงให้เจ้าคำฟู โอรส-องค์ใหญ่ครองเมืองเชียงใหม่ส่วนพระองค์กลับไปครองเมืองเชียงราย
พ.ศ.
๑๘๗๑ พระยาแสนภู
มีพระประสงค์จะสร้างนครอยู่ใหม่
ต้องการชัยภูมิที่ดีจึงให้เสนาอำมาตย์ไปตรวจตราสถานที่
จึงได้เมืองเก่ารอบริมแม่น้ำโขง อันเป็นบริเวณเมืองโบราณของเมืองไชยบุรี
จึงได้สร้างเมืองขึ้น ณ สถานที่นั้น
โดยเอาแม่น้ำโขงเป็นคูปราการด้านตะวันออกอีก ๓ ด้าน ให้ขุดคูโอบรอบนครไว้
ทำพิธีฝังหลักเมืองเมื่อวันศุกร์ เดือน
๕
หรือเดือน ๗ เหนือ
ขึ้น ๒ ค่ำ
ปีมะโรง
พ.ศ.
๑๘๗๑
และขนานนามเมืองใหม่ว่า
"หิรัญนครชัยบุรีศรีเชียงแสน"
ปัจจุบันนี้เรียกว่าเชียงแสน หรือเวียงเก่า
๒.
สมัยกรุงศรีอยุธยา
กษัตริย์ราชวงศ์เมงราย ได้ครอบครองราชสมบัติเมืองเชียงแสนสืบ ๆ มา
จนกระทั่งถึง พ.ศ.
๑๙๐๘ มีพวกฮ่อมารบกวนแต่ก็ถูกตีแตกพ่ายไป พระเจ้าสามฝั่งแกน
เจ้านครเชียงใหม่ได้ตั้งให้เจ้าขุนแสน ลูกพระยาวังพร้าวไปครองเมืองเชียงแสน
สถาปนาให้เป็น
"พระยาสุวรรณคำล้านนาไชย-สงคราม"
ต่อมาสมัยพระยากมลเป็นเจ้าเมืองเชียงแสน
ซึ่งขณะเดียวกันกับพระเจ้าเมกุฎิราช ครองเมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ.
๒๑๐๑ เชียงใหม่ เชียงราย และเชียงแสน
ตลอดจนหัวเมืองฝ่ายเหนือ ได้ตกลงเป็นของยินนอง
(บุเรงนอง)
เจ้ากรุงหงสาวดีและตกอยู่ในความปกครองพม่านับตั้งแต่นั้นมา
๓.
สมัยกรุงธนบุรี
พระเจ้ากรุงธนบุรี
ได้ยกกองทัพมาปราบปรามขับไล่พม่าทางหัวเมืองฝ่ายเหนือแต่ก็ไม่สำเร็จเด็ดขาด
ในราว พ.ศ.
๒๓๔๗ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
แห่งราชวงศ์จักรีกรมหลวงเทพหริรักษ์ พระยายมราช
ยกกองทัพขึ้นไปขับไล่พม่าออกจากเชียงแสนได้สำเร็จ
และให้เผาเมืองเชียงแสนเสียสิ้นกวาดต้อนผู้คนพลเมืองประมาณ ๒๓,๐๐๐
ครอบครัวแบ่งเป็น ๕ ส่วน แต่ละส่วนให้ไปอยู่เมืองเชียงใหม่ ลำปาง น่าน
เวียงจันทน์ และอีกส่วนหนึ่งลงมายังกรุงเทพฯ แล้วโปรดฯ
ให้ตั้งอยู่ที่สระบุรี ราชบุรี
๔.
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พ.ศ.
๒๔๑๒ ในสมัยของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เจ้าอุปราชเจ้า-ราชวงศ์นครเชียงใหม่
มีใบบอกข้อราชการไปยังกรุงเทพฯ ว่า พม่า ลื้อ เขิน จากเมืองเชียงตุง ๓๘๑ คน
ยกครอบครัวมาอยู่เมืองเชียงแสน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ตอบไปให้เจ้าอุปราชว่าให้จัดการแต่งคนไปว่ากล่าวให้พวกพม่า ลื้อ เขิน
เหล่านั้นถอยออกไปจากราชอาณาเขตไทยเสีย
แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะพวกนั้นไม่ยอมออกไป พ.ศ.
๒๔๑๗ เจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าครองนครเชียงใหม่
เกณฑ์ไพร่พลจากเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน จำนวนทั้งสิ้น ๔,๕๐๐
คน ยกออกจากเมืองเชียงใหม่ไปเชียงรายและเชียงแสนไล่ต้อนพวกพม่า ลื้อ เขิน
เหล่านั้นออกจากเชียงแสนตั้งแต่นั้นมา เชียงแสนก็เป็นเมืองร้าง รัชกาลที่ ๕
จึงได้โปรดให้เจ้าอินต๊ะ บุตรเจ้าบุญมา
(เจ้าบุญมาเป็นน้องเจ้ากาวิละ
เจ้าครองนครเชียงใหม่)
เจ้าผู้ครองนครลำพูนเป็นหัวหน้านำราษฎรเมืองลำพูน เชียงใหม่
ประมาณ ๔,๕๐๐
ครอบครัว
ไปหักร้าง-ถางพงที่เมืองเชียงแสนเดิม
เพื่อให้เป็นเมืองใหม่
เจ้าอินต๊ะ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระยาราชเดชดำรง
ตำแหน่งเจ้าเมืองเชียง-แสน
เจ้าเมืองหัวเมืองฝ่ายเหนือมี ๕ ชื่อ ประจำเมืองต่าง ๆ คือ
พระยาประเทศอุดรทิศ
เจ้าเมืองพะเยา
พระยามหิทธิวงศา
เจ้าเมืองฝาง
พระยารัตนาเขตต์
เจ้าเมืองเชียงราย
พระยาราชเดชดำรง
เจ้าเมืองเชียงแสน
พระยาจิตวงศ์วรยรังษี
เจ้าเมืองเชียงของ
เมื่อ พ.ศ.
๒๔๓๗ รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีสหเทพ
(เสง
วิริยศิริ)
จัดการปกครองมณฑลพายัพชั้นใน พระยาศรีสหเทพ
จึงร่างข้อบังคับสำหรับที่ว่าการเมือง เรียกว่า
"เค้าสนาม-
หลวง"
คือจัดให้มี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
แต่ละแคว้นขึ้นกับเมืองเรียกว่า
"เจ้าเมือง"
เมืองขึ้นกับบริเวณเรียกว่า
"ข้าหลวงบริเวณ"
ข้าหลวงบริเวณขึ้นกับ
"เค้าสนามหลวง"
จัดการเก็บเงินรัชชูปการเรียกว่า
"ค่าแรงแทนเกณฑ์"
คนหนึ่งปีละ ๔ รูปี
(ต่อมาเรียก
๔ บาท)
ในที่สุดวิธีการนี้ได้จัดทำขึ้นเป็นพระราชบัญญัติเรียกว่า
"พระราชบัญญัติตั้งมณฑลพายัพ"
ตั้งนครเชียงใหม่เป็นที่ตั้งมณฑล
เมืองเชียงแสน สมัยนี้ขึ้นต่อกระทรวงกลาโหม และต่อมา
เมื่อประกาศให้ใช้พระราช-บัญญัติปกครองท้องที่
พ.ศ.
๒๒๕๗ จึงมาขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.
๒๒๔๐
พระอาราชดำรงถึงแก่กรรมต่อมาเกิดมีพวกไทยใหญ่รวมกันเป็นโจรเข้าปล้นเมือง
บุตรพระยาราชเดชดำรงกับญาติและไพร่พลช่วยกันต่อสู้ชนะและปราบปรามได้สำเร็จ
พ.ศ.
๒๔๔๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งนายไชยวงศ์
บุตรพระยาราชเดชดำรงเป็นพระราชเดชดำรง สืบสกุลแทนบิดา
และต่อมาย้ายที่ทำการมาตั้งที่ตำบลกาสา ตั้งเป็นอำเภอปี พ.ศ.
๒๔๔๒ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอแม่จัน
ส่วนเมืองเชียงแสนเดิมให้เป็นกิ่งอำเภอเชียงแสนหลวงซึ่งในสมัยต่อมาก็ได้ยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอเชียงแสน
พ.ศ.
๒๔๔๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง
นายคำหมื่น บุตรพระราชเดชดำรง
(เจ้าอินต๊ะ)
เป็นพระยาราชบุตรขึ้นกับเมืองเชียงรายในสมัยนั้นเจ้าพระยาสุรสีห์วิศิษฐ์ศักดิ์
(ไชย
กัลยาณมิตร)
เป็นเสนาบดีและองค์มนตรีสมุหเทศาภิบาลพายัพประจำมณฑลพายัพ
ต่อมา พ.ศ.
๒๔๕๓ หรือ ร.ศ.
๑๒๙ ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย ยกเมืองเชียงราย
ขึ้นเป็นเมืองเชียงราย อันรวมอยู่ในมณฑลพายัพฯ
การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล
หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง โดยมีกระทรวงมหาดไทย
ในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้วจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค
ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น
อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล
ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น
การปกครองแบบเทศาภิบาล
เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการในท้องที่ต่าง
ๆ ระบบการ
ปกครองแบบเทศาภิบาล
เป็นระบอบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อยและเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย
คือ ระบบกินเมือง ให้หมดไป
การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น
อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น
หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ
เท่าใดก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองเองมากขึ้นเท่านั้น
ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก
หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ ๆ
ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ
มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวางในสมัยที่สมเด็จเจ้าบรมวงศ์เธอกรม-พระยาดำรงราชานุภาพดำรงตำแหน่งเสนาบดี
พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน
โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า
รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง
ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ.
๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ.
๒๔๕๘
จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น
จึงจะขอนำคำจำกัดความของ
การเทศาภิบาล
ซึ่งพระยาราชเสนา
(ศิริ
เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
อดีตปลัดทูล-ฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้
ซึ่งมีความว่า
การเทศาภิบาล
คือ
การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง
ซึ่งประจำอยู่แต่ในราชธานีนั้นออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาคเป็นสื่อกลางระหว่างประชากรของประเทศ
ซึ่งอยู่ห่างไกลจากรัฐบาลที่อยู่ในกรณีให้ได้ใกล้ชิดกับอาณาประชากร
เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน
โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชประเทศชาติด้วย ฯลฯ
จึงแบ่งเขตการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับกันดังนี้ คือ
ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดไปเป็นเมือง คือ จังหวัดรองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล
และหมู่บ้าน
จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง
ทบวงกรมของราชธานีและจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา
ความประพฤติดี
ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนดังที่เป็นมาแต่ก่อน
เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อยและรวดเร็วแก่ราชการและกิจธุระของประชาชน
ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย
จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น
ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล
ดังนี้
การเทศาภิบาล นั้น หมายความรวมว่า เป็น
ระบบ
การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า
การปกครองส่วนภูมิภาค
ส่วน มณฑลเทศาภิบาลนั้น คือ ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้
และยังหมายความอีกว่า
ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง
ๆ
แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดการปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม
อันเป็นระบบกินเมือง
ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง
และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ
ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕
ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกันแต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่
ดังอธิบายโดยย่อดังนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระปิยมหาราช
ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง
กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง
การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง
ยากที่จะจัดระเบียบการปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร
ทรงพระราชดำริว่า
ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว
จึงได้มี
พระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงกลาโหมเสียใหม่
เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.
๒๔๓๕
เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว
จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง
การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ
มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน
มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพาและมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก
บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต
การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้
ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล
การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ.
๒๔๓๗ เป็นต้น-มา
และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร
แต่ก็ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้
พ.ศ.
๒๔๓๗
เป็นปีแรกที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ
กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก
มณฑลปราจีน มณฑลราชบุรี
ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่และในตอนปลายนี้
เมื่อโปรดเกล้าฯ
ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว
จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง
พ.ศ.
๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ
มณฑลนคร-ชัยศรี
มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า
และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต
ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง
พ.ศ.
๒๔๓๙
ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ มณฑล
คือ
มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร
พ.ศ.
๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี
และในปีเดียวกันนั้นเอง มณฑลเพชรบูรณ์ตั้งขึ้น พ.ศ.
๒๔๔๒
(ดูการเทศาภิบาล)
ร.ศ.
๑๑๘
(๒๐
บท และกฎหมายประจำค่า)
พ.ศ.
๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่า ๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓
มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล
พ.ศ.
๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์
เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย
พ.ศ.
๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี
ระยอง และตราด
พ.ศ.
๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
พ.ศ.
๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง
เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ
เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย
และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้
พ.ศ.
๒๔๕๔ ประกาศยกเมืองเชียงรายเป็นเมืองจัตวา
รวมอยู่ในมณฑลพายัพ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.
๒๔๕๔
(รศ.
๑๒๙)
พ.ศ.
๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบล
และมณฑลร้อยเอ็ด
พ.ศ.
๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑาพายัพ
การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน
การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น
ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
๒๔๗๖
จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ
จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน
มีข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นผู้บริหารเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว
ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย
เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม
พ.ศ.
๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก
๑.
การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน
สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง
๒.
เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง
๓.
เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด
จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล
มณฑลรายงานต่อกระทรวงเป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น
๔.
รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ
มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิ-ภาคยิ่งขึ้น
และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง
ต่อมาในปี พ.ศ.
๒๔๙๕
รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง
ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้
๑.
จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล
แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่
๒.
อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่
คณะกรรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ
ผู้ว่าราชการจังหวัด
๓.
ในฐานะของคณะกรรมการจังหวัด
ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด
ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด
ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิบัติ
ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕
ได้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น
๑.
จังหวัด
๒.
อำเภอ
จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล
การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ
และให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น
คณะกรรมการจังหวัดประกอบด้วยปลัดจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดซึ่งกระทรวง
ทบวง กรมต่าง ๆ ส่งมาประจำ
โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการจังหวัดโดยตำแหน่ง
และในกรณีที่มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด
ให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด
ร่วมเป็นคณะกรรมการจังหวัดด้วย
ที่มา
:
ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย,
พุทธศักราช ๒๕๒๗,
หน้า ๔๓-๕๒
|