| 
       
		
		ประวัติศาสตร์จังหวัดหนองคาย 
		
		
		สมัยกรุงธนบุรี 
		
		            
		ปี 
		พ.ศ.
		๒๓๑๔ ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี พระวอ (พระวรราชภักดี)
		อุปราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต และพระตา เสนาบดี 
		เกิดขัดใจกันกับพระเจ้าศิริบุญสาร กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์ ในครั้งนั้น 
		พระวอพระตาเป็นนายกองอยู่บ้านหินโงม 
		จึงรวบรวมไพร่พลไปสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณหนองบัวลำภู(จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน)
		ใช้ชื่อเมืองใหม่ว่า "เมืองนครเขื่อนขันธ์ 
		กาบแก้วบัวบาน" (ในพระราชวิจารณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
		ในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี เรียกว่า เมืองจำปา 
		นครขวางกาบแก้วบัวบาน) 
		
		         
		พระเจ้าศิริบุญสารได้ยกกองทัพมาปราบแต่ไม่สำเร็จ 
		ต่อมาพระวอพระตาเกรงจะถูกรุกรานอีก 
		จึงไปขออ่อนน้อมต่อพม่าเพื่อขอกำลังมาโจมตีเวียงจันทน์ 
		เมื่อทางเวียงจันทน์ทราบเรื่องก็ส่งทูตไปขออ่อนน้อมต่อพม่าบ้าง 
		แล้วยกกองทัพเข้าตีเมืองหนองบัวลำภูแตก พระตาตายในที่รบ 
		พระวอจึงอพยพหนีไปตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลหนองมดแดง (อยู่ในเขตอุบลราชธานีในปัจจุบัน)
		
		แล้วแต่งเครื่องบรรณาการไปขอเป็นเมืองขึ้นต่อกรุงธนบุรี 
		พระเจ้าตากสินยอมรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย 
		
		         
		ปี พ.ศ. 
		๒๓๑๘   (ค.ศ.
		๑๗๗๖)   พระเจ้าศิริบุญสารได้ยกกองทัพมาโจมตีพระวอที่ดอนมดแดง 
		กองทัพเวียงจันทน์ได้จับตัวพระวอฆ่าตาย พรรคพวกของพระวอจึงถือสาส์นไปยังเมืองนครราชสีมาเพื่อขอกำลังพระเจ้าตากสินไปช่วย 
		พระเจ้าตากสินโปรดให้สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกและพระยาสุรสีห์เป็นแม่ทัพยกไปตีเวียงจันทน์ 
		กองทัพไทยยกไปทางนครจำปาศักดิ์ 
		แต่กองทัพเวียงจันทน์ถอยกลับไปแล้วเจ้าไชยกุมาร 
		ผู้ครองนครจำปาศักดิ์ได้ยอมอ่อนข้อแต่โดยดี 
		จากนั้นกองทัพไทยได้ยกไปตีเวียงจันทน์ล้อมอยู่นานถึงสี่เดือนจึงตีเมืองเวียงจันทน์ได้   
		และการตีเมืองเวียงจันทน์ครั้งนั้น   
		ทางหลวงพระบางได้ยกทัพมาช่วยไทยตีเมืองเวียงจันทน์ด้วย 
		เมื่อไทยยึดได้เวียงจันทน์ 
		หลวงพระบางก็ยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้นต่อไทยกองทัพไทยได้กวาดต้อนผู้คนชาวลาวและทรัพย์สิน 
		พร้อมทั้งได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์  
		และพระบางจากหลวงพระบางลงมากรุงเทพฯ    (ภายหลังได้คืนพระบางให้หลวงพระบางตามเดิม 
		เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าพระบางและพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในเมืองเดียวกัน 
		เมืองนั้นจะเกิดวิบัติขึ้น) 
		
		 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 
		
		         
		ปี พ.ศ. 
		๒๓๓๘ (ค.ศ.
		๑๘๙๕) 
		ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระเจ้าศิริบุญสาร 
		ได้กลับมาที่เวียงจันทน์ ได้จับพระยาสุโภซึ่งรั้งเมืองเวียงจันทน์ฆ่าเสีย 
		แล้วตั้งมั่นอยู่ในเวียงจันทน์ต่อมาเจ้านันทเสนได้ครองเวียงจันทน์      
		แต่อ่อนแอจึงถูกถอดออกจากราชสมบัติ   แล้วโปรดเกล้าฯ   ให้เจ้าอินทวงศ์ 
		เป็นกษัตริย์แทน เมื่อสิ้นเจ้าอินทวงศ์แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ 
		ให้เจ้าอนุวงศ์อุปราชเป็นกษัตริย์ครองเวียงจันทน์แทน 
		
		           
		เจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏ 
		
		
		ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เจ้าอนุวงศ์ยังคงแสดงความจงรักภักดีดังเดิม 
		เช่นเมื่อคราวเกิดกบฏโดยพวกข่าก่อความวุ่นวายขึ้นที่เมืองจำปาศักดิ์   ใน พ.ศ.
		๒๓๖๒    เรียกว่า  "กบฏไอ้สาเขียดโง้ง"
		เจ้าอนุวงศ์รับอาสาไปปราบจนได้ชัยชนะ แล้วขอให้เจ้าราชบุตร
		(โย้) 
		ไปเป็นเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ รัชกาลที่ ๒ ก็ทรงอนุญาต 
		
		         
		ครั้นรัชกาลที่ ๒ เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.
		๒๓๖๗ ความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพฯ 
		กับ  
		
		
		เวียงจันทน์ก็ค่อยห่างเหินไปในรัชกาลที่ ๓ 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๓๖๘ 
		เจ้าอนุวงศ์มาถวายบังคมพระบรมศพรัชกาลที่ ๒ แล้วกราบทูลขอละคร 
		
		
		ผู้หญิงในวังไปแสดงที่เวียงจันทน์ สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ 
		ไม่ทรงอนุญาตตามที่ขอ เจ้าอนุวงศ์ก็ไม่พอใจ 
		นอกจากนี้เจ้าอนุวงศ์ได้กราบทูลขอพระบรมราชานุญาต 
		พาชาวเวียงจันทน์ที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีกลับบ้านเมืองเดิม 
		ก็ไม่ทรงโปรดอนุญาต 
		เป็นเหตุให้เจ้าอนุวงศ์รู้สึกอัปยศอดสูและขัดเคืองเป็นอย่างยิ่ง 
		
		          
		ขณะนั้น 
		เป็นเวลาที่ญวนกำลังแย่งอำนาจเข้าครอบครองเขมร 
		และคิดจะยึดเอาหัวเมืองลาวไว้ในอำนาจของตนด้วย 
		จึงส่งคนมาเกลี้ยกล่อมเจ้าอนุวงศ์ เจ้าอนุวงศ์จึงได้โอกาสหันไปฝักใฝ่กับญวน 
		โดยหวังให้ญวนหนุนหลังตน 
		และเป็นระยะเวลาที่ไทยขัดใจกับอังกฤษเรื่องเมืองไทรบุรี 
		ครั้นเจ้าอนุวงศ์สืบทราบว่าไทยมีผู้ชำนาญศึกเหลือน้อยลง 
		เหลือแต่เจ้านายรุ่นหนุ่ม ๆอ่อนอาวุโส 
		เจ้าอนุวงศ์จึงตั้งแข็งเมืองและเป็นกบฏขึ้น 
		
		         
		พ.ศ. ๒๓๖๙ 
		เจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏ 
		ยกกองทัพผ่านหัวเมืองรายทางมาจนถึงนครราชสีมาทางกรุงเทพฯ   
		ได้โปรดให้พระยาราชสุภาวดี   (ภายหลังได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาบดินทร์เดชา
		"สิ่งห์สิงหเสนี") 
		เป็นแม่ทัพมาปราบ โดยมีท้าวสุวอธรรมา (บุญมา)
		ยกทัพมาจากเมืองยโสธร 
		และพระยาเอียงสา มาช่วยเป็นกำลังสำคัญ 
		ในที่สุดสามารถจับตัวเจ้าอนุวงศ์ลงไปกรุงเทพฯ สำเร็จ 
		และได้พระราชทานบำเหน็จทุกถ้วนหน้า แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสุวอธรรมาเลือกทำเลที่จะสร้างเมือง 
		๔ เมือง คือ  
		
		         
		๑. เมืองพานพร้าว 
		อยู่ตรงข้ามกับเวียงจันทน์ (ปัจจุบันคืออำเภอศรีเชียงใหม่) 
		
		         
		๒. 
		เมืองเวียงคุก 
		
		         
		๓. 
		เมืองปะโค 
		
		         
		๔. บ้านไผ่ (บ้านบึงค่าย) 
		
		         
		พ.ศ. ๒๓๗๐ 
		ท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) 
		ได้เลือกเอาบ้านไผ่สร้างขึ้นเป็นเมืองหนองคายโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวสุวอธรรมา
		(บุญมา) เป็นพระปทุมเทวาภิบาล
		(บุญมา) 
		ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหนองคายคนแรก 
		และให้เมืองเวียงจันทน์ขึ้นตรงต่อเมืองหนองคาย 
		
		         
		พ.ศ. ๒๔๓๔ 
		ภายหลังกบฏฮ่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
		ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม 
		เป็นสมุหเทศาภิบาลประจำมณฑลลาวพวนตั้งที่ทำการมณฑลอยู่ที่เมืองหนองคาย
		(ต่อมาเป็นมณฑลฝ่ายเหนือและมณฑลอุดร) 
		
		         
		พ.ศ. ๒๔๓๖
		(เหตุการณ์ ร.ศ.
		๑๑๒) 
		ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้แกฝรั่งเศสและระบุในสัญญาว่า   
		"ห้ามมิให้ไทยตั้งหรือนำกองทัพทหารอยู่ในเขต ๒๕ กิโลเมตร 
		จากชายแดน" กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมจึงได้ย้ายที่ทำการมณฑลไปอยู่บริเวณบ้านเดื่อหมากแข้ง 
		และตั้งเป็นมณฑลอุดรมาจนถึงรัชกาลที่ ๖ 
		
		         
		ในปี พ.ศ. 
		๒๔๔๓ ได้มีการแก้ไขการปกครองมณฑลที่มีอยู่ก่อน พ.ศ.
		๒๔๓๖ ให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลขึ้น 
		รวมหัวเมืองเข้าเป็นบริเวณมีฐานะเท่าจังหวัดเดี๋ยวนี้ 
		มณฑลอุดรได้รวมหัวเมืองเป็นบริเวณ ๕ บริเวณ คือ 
		
		         
		๑. 
		บริเวณหมากแข้ง ตั้งที่ทำการที่บ้านหมากแข้ง คือ จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน 
		
		         
		๒. 
		บริเวณธาตุพนม ตั้งที่ทำการที่เมืองนครพนม 
		
		         
		๓. 
		บริเวณน้ำเหือง ตั้งที่ทำการที่เมืองเลย 
		
		         
		๔. 
		บริเวณพาชี ตั้งที่ทำการที่เมืองขอนแก่น 
		
		         
		๕. 
		บริเวณสกลนคร ตั้งที่ทำการที่เมืองสกลนคร 
		
		         
		
		ส่วนเมืองหนองคายซึ่งเคยเป็นที่ตั้งบัญชาการมณฑลอุดรมาแต่ก่อนนั้นไม่มีรายชื่อ 
		บริเวณซึ่งได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ.
		๒๔๔๓ 
		แต่การปฏิบัติราชการของเมืองนั้นก็ยังคงดำเนินมาในฐานะเสมือนเมืองหรือบริเวณหนึ่ง 
		ดังนั้นในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.
		๒๔๕๘ จึงโปรดให้ประกาศตั้งเมืองหนองคายขึ้นเป็นเมือง 
		โดยมีข้าหลวงคนแรกชื่อว่าพระยาสมุทรศักดารักษ์ (เจิม 
		วิเศษรัตน์) 
		
		         
		พ.ศ. ๒๔๕๗ 
		ในรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ขึ้น 
		โดยให้ยกเลิกระบอบเจ้าปกครองนคร (เจ้าเมือง)
		ทั่วประเทศ พ.ศ.
		๒๔๕๙ เปลี่ยนคำเรียกชื่อ "เมือง"
		มาเป็น "จังหวัด"
		มีข้าหลวงปกครอง (ต่อมาเรียก
		"ผู้ว่าราชการจังหวัด") 
		
		 การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล 
		
		          
		หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลาง 
		โดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว 
		การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค 
		ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงหมาดไทยขึ้น 
		อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล 
		ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบอบการปกครองอันสำคัญยิ่ง 
		ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น 
		การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบอบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ 
		ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล 
		เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย 
		และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีดั้งเดิมของไทย คือระบบกินเมืองให้หมดไป 
		
		          
		การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ 
		นั้น 
		อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น 
		หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด 
		ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ 
		เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบากหัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ๆ 
		ส่วนหัวเมือง 
		
		อื่นๆ 
		มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมือง และมีอำนาจอย่างกว้างขวาง 
		ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำรงตำแหน่งเสนาบดี 
		พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกันโดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า    
		รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง    
		ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ.
		๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ.
		๒๔๕๘ 
		จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น 
		จึงจะขอนำคำจำกัดความของ "การเทศาภิบาล"
		ซึ่งพระยาราชเสนา (สิริ เทพหัสดิน 
		ณ อยุธยา) 
		อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า 
		 
		
		          "การเทศาภิบาล 
		คือ 
		การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
		และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง 
		ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค 
		อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร 
		เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน 
		โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ 
		จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้คือ 
		ส่วนใหญ่เป็นมณฑล รองถัดลงไปเป็นเมือง คือจังหวัดรองไปอีกเป็นอำเภอ    
		ตำบลและหมู่บ้าน     
		จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี 
		และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี 
		ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน 
		เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็วแก่ราชการและธุรกิจของประชาชน 
		ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย 
		
		          
		จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น 
		ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลดังนี้ 
		
		         
		การเทศาภิบาล นั้น หมายความว่า เป็น "ระบบ"
		การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "การปกครองส่วนภูมิภาค"
		ส่วน "มณฑลเทศาภิบาล"
		นั้น 
		คือส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้และยังหมายความอีกว่า 
		ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่างๆ 
		แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม 
		อันเป็นระบบกินเมือง 
		ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางและริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง 
		
		         
		นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ 
		ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ 
		ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน 
		แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ 
		เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช 
		ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 
		ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง 
		กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง 
		การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ ๓ แห่ง 
		ยากที่จะจัดระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร   
		ทรงพระราชดำริว่า 
		ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว 
		จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ 
		เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. 
		๒๔๓๕ 
		เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว 
		จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง 
		การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ 
		มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน 
		มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา 
		ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกบัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต 
		
		         
		การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ 
		ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาลการจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ 
		พ.ศ. 
		๒๔๓๗ เป็นต้นมา 
		และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร 
		แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับ ดังนี้ 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๔๓๗ เป็นปีแรก ที่ได้วางแผนงาน 
		จัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จกระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น 
		๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีนบุรีมณฑลนครราชสีมา 
		ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ 
		เมื่อโปรดเกล้าฯ 
		ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว 
		จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๔๓๘ 
		ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี 
		มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า 
		และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต 
		ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๔๓๙ ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๒ 
		มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร 
		
		         
		พ.ศ. ๒๔๔๐ 
		ได้รวมหัวเมืองมลายูตะวันตกเป็นมณฑลไทรบุรี และในปี พ.ศ.
		๒๔๔๒ 
		ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่าๆ 
		ที่เหลืออยู่อีก ๓ มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน 
		ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ 
		เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี 
		มีเมืองจันทบุรี ระยองและตราด 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง 
		เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ 
		เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย 
		และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล 
		มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบลและมณฑลร้อยเอ็ด 
		
		         
		พ.ศ. 
		๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น 
		โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ 
		
		 การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน 
		
		         
		การปรังปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง 
		เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น   
		ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
		๒๔๗๖ 
		จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ 
		จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน 
		มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร 
		เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง   
		นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว  
		ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย 
		เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม 
		พ.ศ. 
		๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก 
		
		         
		๑) 
		การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน 
		สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง 
		
		         
		๒) 
		เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง 
		
		         
		๓) 
		เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล 
		มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น 
		
		         
		๔) 
		รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ 
		มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้นและการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง 
		
		         
		ต่อมาในปี พ.ศ. 
		๒๔๙๕ 
		รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 
		ดังนี้ 
		
		         
		๑) จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล 
		แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
		๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ 
		
		         
		๒) 
		อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล 
		ได้แก่คณะกรมการจังหวัดนั้นได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลเดียว คือ 
		ผู้ว่าราชการจังหวัด 
		
		         
		๓) 
		ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด     
		ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด 
		ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด 
		
		          
		ต่อมา 
		ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ 
		ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ 
		โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น  
		
		         
		๑) จังหวัด 
		
		         
		๒) อำเภอ 
		
		          
		จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ 
		อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การจัดตั้ง ยุบ 
		และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ 
		และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น
		 
		
		  
		
			
				
				
				ที่มา
				
				: 
				ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดหนองคาย.
				ธนสัมพันธ์,๒๕๒๙ 
				
				   
		 
       |