| 
       
		
		ประวัติศาสตร์จังหวัดปทุมธานี 
		
		
		 สมัยกรุงศรีอยุธยา 
		
		
		สมัยศรีกรุงศรีอยุธยาตอนต้น 
		
		
		อาศัยหลักฐานทางโบราณสถาน และโบราณวัตถุ 
		ภายในจังหวัดปทุมธานี 
		เป็นที่น่าเชื่อว่าจังหวัดปทุมธานีในอดีตเป็นเมืองที่เกิดขึ้นในยุคต้นของอาณาจักรศรีอยุธยาประกอบกับ 
		"ตำนานท้าวอู่ทอง"
		
		
		ทำให้เรื่องท้าวอู่ทองอพยพผู้คนหนีโรคห่า 
		(อหิวาตกโรค)
		
		
		ผ่านมายังเมืองปทุมธานีมีความจริงอยู่มาก 
		
		
		"ตำนานท้าวอู่ทอง"
		
		
		ที่จังหวัดปทุมธานี มีปรากฏอยู่ ๒ เรื่อง คือ 
		ตำนานเรื่องท้าวอู่ทอง เสด็จหนีโรคห่าผ่านมายังวัดมหิงสารามตำบลบางกระบือ 
		อำเภอสามโคกเรื่องหนึ่งและตำนานเรื่องท้าวอู่ทอง 
		อันเป็นประวัติวัดเทียนถวาย อำเภอเมืองอีกเรื่องหนึ่ง 
		
		
		ตำนานท้าวอู่ทอง ที่วัดมหิงสาราม 
		ผู้เฒ่าผู้แก่ในตำบลบางกระบือ เล่าต่อกันมาว่าครั้งหนึ่งในอดีต 
		ท้าวอู่ทองได้อพยพไพร่พล หนีโรคห่า 
		ขณะผ่านเขตสามโคกเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้วประกอบกับเกวียนชำรุด จึงหยุดพักไพร่พล 
		ที่บริเวณวัดมหิงสาราม กับทั้งได้ออกปากขอยืมเครื่องมือจากชาวบ้านละแวกนั้น 
		เพื่อนำมาซ่อมแซมเกวียนแต่ได้รับการปฏิเสธ ท้าวอู่ทองทรงพิโรธนัก 
		และในคืนนั้นเองทรงแอบฝังทรัพย์สมบัติส่วนที่ไม่สามารถนำไปได้เพราะเกวียนชำรุด 
		ไว้ในบริเวณวัด และสาปแช่งมิให้ผู้ใดนำทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้ไปได้เลย 
		สภาพปัจจุบันวัดมหิงสารามเป็นวัดร้าง ชำรุดทรุดโทรม 
		เหลือเพียงผนังพระอุโบสถเพียง ๔ 
		ด้านเท่านั้นอยู่ห่างจากลำน้ำเจ้าพระยาประมาณสองกิโลเมตร 
		สาเหตุที่ร้างมีผู้สันนิษฐานต่างกันไป 
		บ้างก็ว่าเป็นเพราะลำน้ำเปลี่ยนทางเดิน บ้างก็คิดว่าเพราะกรุงแตกเมื่อปี พ.ศ.
		
		
		๒๓๑๐ 
		
		
		ตำนานท้าวอู่ทองจากคำบอกเล่าทางวัดเทียนถวาย ความว่า 
		พระเจ้าอู่ทองได้อพยพผู้คนหนีโรคห่า พร้อมด้วยไพร่พล 
		สัมภาระบรรทุกเกวียนมาประมาณแปดสิบเล่ม 
		ได้หยุดพักไพร่พลอยู่ที่หนองแห่งหนึ่ง 
		(ปัจจุบันเรียกชื่อว่า 
		หนองปลาสิบ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดเทียนถวาย ตำบลบ้านใหม่ 
		อำเภอเมือง)
		
		
		ตอนกลางคืนได้จุดไฟสว่างไสวตลอดทั้งคืนนานเป็นแรมเดือน เมื่อโรคห่าสงบแล้ว 
		ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับได้โปรดเกล้าฯ 
		ให้สร้างวัดในบริเวณที่เคยประทับขึ้น ๑ วัด สมัยนั้นชาวบ้านเรียกว่า 
		"วัดเกวียนไสว"
		
		
		ต่อมาแผลงเป็น 
		"วัดเทียนถวาย" 
		
		
		
		ตำนานเรื่องท้าวอู่ทองเสด็จหนีโรคห่าเล่าต่อกันมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 
		ดังปรากฏในนิราศวัดเจ้าฟ้า กล่าวอ้างถึงเรื่องพระเจ้าอู่ทอง 
		ได้เสด็จหนีโรคผ่านเมืองสามโคก ก่อนไปตั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า 
		
		
		"พอเลยนาคบากข้ามถึงสามโคก 
		
		
		เป็นคำโลกสมมุติสุดสงสัย 
		
		
		ถามบิดาว่าท่านผู้เฒ่าท่านกล่าวไว้ 
		
		
		ว่าท้าวไทพระอู่ทองเธอกองทรัพย์ 
		
		
		หวังจะไว้ให้ประชาเป็นค่าจ้าง 
		
		
		ด้วยจะสร้างบ้านเมืองเครื่องประดับ 
		
		
		พอห่ากินสิ้นบุญไปสูญลับ 
		
		
		ทองก็กลับกลายสิ้นเป็นดินแดง 
		
		
		จึงที่นี้มีนามชื่อสามโคก 
		
		
		เป็นคำโลกสมมุติสุดแถลง 
		
		
		ครั้งพระโกศโปรดปรานประทานแปลง 
		
		
		ที่ตำแหน่งมอญมาสวามิภักดิ์ 
		
		
		ชื่อประทุมธานีที่เสด็จ 
		
		
		เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก 
		
		
		มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก 
		
		
		พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านพารา" 
		
		
		จากตำนานจึงพอประมาณการได้ว่า ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลงมา 
		บริเวณสองริมฝั่งลำน้ำเจ้าพระยาตอนล่างเป็นอาณาบริเวณที่ตั้งของจังหวัดปทุมธานี 
		ในอดีตเต็มไปด้วยป่าไม้หนาแน่นอุดมด้วยสัตว์ป่านานาชนิด บ้านเรือนราษฎร 
		ตั้งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำ 
		และบ้านเรือนเริ่มจะมีมากขึ้นในภายหลังที่พระเจ้าอู่ทอง 
		ได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีปทุมธานีคงเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ 
		เป็นต้นด่านกักนาวาก่อนที่จะเดินทางผ่านเข้ามาสู่ตัวเมืองกรุงศรีอยุธยา 
		
		
		สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  
		(พ.ศ.
		
		๑๙๙๑-๒๐๓๑) 
		
		
		ในรัชสมัยของกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาพระองค์นี้ 
		ชุมชนในเขตจังหวัดปทุมธานี 
		เริ่มขยายตัวเป็นชุมชนเมืองริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตะวันออก 
		ตั้งแต่บริเวณวัดสองพี่น้องถึงวัดป่างิ้วในปัจจุบัน 
		(แต่เดิมเป็นที่ตั้งของวัด 
		"พญาเมือง"
		
		และ 
		"วัดนางหยาด")
		
		
		โดยมีคันคูเมืองโดยรอบปัจจุบันเหลือเพียงร่องรอยต่าง ๆ 
		ในอดีตให้ได้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รู้จักกันในนามว่า 
		"เมืองสามโคก" 
		
		
		ครั้นในปี พ.ศ.
		
		
		๒๑๑๒ แผ่นดินพระมหินทราธิราชกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งแรก 
		พระเจ้าหงสาวดีได้กวาดต้อนประชาชนพลเมืองไปประเทศพม่า 
		คงเหลือไว้เพียงหมื่นเศษเป็นผลให้สามโคกกลายเป็นเมืองร้างไป 
		
		
		มีหลักฐานในกฎหมายเก่าลักษณะพระธรรมนูญ 
		ว่าด้วยการใช้ตราราชการ พ.ศ.
		
		
		๒๑๗๙ แผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง แห่งกรุงศรีอยุธยา ระบุว่า 
		สามโคกเป็นหัวเมืองขึ้นกับกรมพระกลาโหม จึงแสดงให้เห็นว่า 
		เมืองสามโคกมีฐานะเป็นเมืองมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา 
		
		
		สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 
		
		
		เมื่อพม่ารบกับจีน ในปี พ.ศ.
		
		๒๒๐๒ 
		ชาวมอญที่ถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพพม่า ได้พากันหลบหนีจากกองทัพพม่า 
		โดยพาครอบครัวออกจากเมืองเมาะตะมะ เข้ามากรุงศรีอยุธยาประมาณ ๑๐,๐๐๐ 
		คน สมเด็จพระนารายณ์ฯ จึงโปรดเกล้าฯ 
		ให้ครอบครัวมอญที่อพยพเข้ามาในครั้งนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสามโคก 
		ปรากฏตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาว่า 
		
		
		"ขณะนั้น 
		(พ.ศ.
		
		๒๒๐๒ 
		ปีชวด โทศก)
		
		
		มังนันทมิตร ผู้เป็นอาพระเจ้าอังวะอยู่ปกครองเมาะตะมะ 
		ส่วนชาวเมืองฮ่อไซร้ยกทัพมาล้อมเมืองอังวะ จะเอาฮ่ออุทิงผาซึ่งพาฉกรรจ์อพยพประมาณพันหนึ่งหนีไปพึ่งอยู่ 
		ณ เมืองอังวะนั้น จึงมังนันทมิตรเกณฑ์เอาพล ๓๒ เมือง 
		ซึ่งขึ้นแก่เมืองเมาะตะมะนั้น ๓,๐๐๐ 
		ให้ไปช่วยป้องกันเมืองอังวะ 
		และมอญอันไปช่วยป้องกันก็หลีกหนีคืนมาเป็นอันมาก จึง  
		
		มัง 
		นันทมิตรก็ให้คุมเอามอญอันหนีมานั้นใส่ตะรางไว้ว่าจะเผาเสีย 
		และสมิงนายอำเภอทั้ง ๑๑ คนนั้น 
		ควบคุมมอญประมาณห้าพันยกเข้าเผาเมืองเมาะตะมะและได้ตัวมังนันทมิตรจำไว้แล้ว 
		จึงปรึกษากันว่าเรากระทำความผิดถึงเพียงนี้ 
		ถ้าทราบถึงพระเจ้าอังวะก็จะมีภยันตรายแก่พวกเราเป็นแท้ 
		และเราทั้งปวงหาที่พึ่งมิได้ จำจะพากันกวาดอพยพหนีเข้าไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา 
		เอาพระเดชานุภาพปกเกล้าฯ ร่มเย็น เป็นที่พำนักจึงจะพ้นภัย 
		ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้ว สมิงนายอำเภอทั้ง ๑๑ 
		นายก็กวาดต้อนครอบครัวรามัญในแว่นแคว้นเมืองเมาะตะมะทั้ง ๓๒ 
		หัวเมืองกับสมัครพรรคพวกของตัวและพรรคพวกมังนันทมิตรเป็นคนประมาณหมื่นเศษ 
		
		
		แล้วให้ถอดมังนันทมิตรออกจากพันธนาการพากันอพยพออกจากเมืองเมาะตะมะ มาทางเมืองสมิถึงด่านพระเจดีย์ 
		๓ องค์ ในปีระกา นพศกนั้น จึงสมิงนายอำเภอทั้ง ๑๑ นาย 
		ก็แต่งหนังสือบอกให้รามัญ 
		ถือเข้ามาแจ้งกิจการแก่พระยากาญจนบุรีว่าจะเข้ามาสวามิภักดิ์เป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทพระยากาญจนบุรีก็ส่งหนังสือบอกเข้ามาถึงอัครมหาเสนาธิบดี 
		ให้นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทราบ 
		พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าช้างเผือกให้ทรงทราบเหตุ 
		ก็ทรงพระโสมนัสดำรัสให้สมิงรามัญเก่าในกรุงถือ 
		
		
		พลพันหนึ่ง 
		ออกไปรับครัวเมืองเมาตะมะเข้ามายังพระมหานครแล้วทรงพระกรุณาโปรดให้พวกครัวมอญใหม่ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลสามโคกบ้าง 
		ที่คลองคูจามบ้าง ที่ใกล้วัดตองปุบ้างแล้วดำรัสโปรดให้สมิงนายกองทั้ง ๑๑ คน 
		เข้าเฝ้ากราบถวายบังคม ทรงพระมหาการุญภาพพระราชทานเครื่องยศ เครื่องเรือน 
		และเสื้อผ้าเงินตรากับทั้งเคหฐานให้อยู่เป็นสุข แต่มังนันทมิตรนั้นป่วยลงถึงอนิจกรรม" 
		
		
		ฉะนั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ได้ทรงโปรดเกล้าฯ 
		ให้มอญที่อพยพมาในครั้งนั้นตั้งบ้านเรือนอาศัยทำมาหากินที่ตำบลสามโคก 
		และต่อมาทำให้ตำบลสามโคกเจริญรุ่งเรืองขึ้นจนมีฐานเป็นเมืองสามโคกและเป็นจังหวัดปทุมธานีในปัจจุบัน 
		นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ได้ทรงทำนุบำรุงเมืองปทุมให้เจริญรุ่งเรืองเป็นหลักฐาน 
		ชาวปทุมธานีจึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ 
		
		
		สมัยกรุงธนบุรี 
		
		
		ภายหลังจากที่พระยาวชิรปราการ กอบกู้เอกราชของชาวไทยไว้ได้ 
		เมื่อครั้งเสียกรุงแก่พม่าครั้งที่ ๒ พ.ศ.
		
		๒๓๑๐ 
		ได้ประกาศตั้งเมืองหลวงขึ้นใหม่ เรียกว่า 
		"กรุงธนบุรี"
		
		
		และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อปลายปี พ.ศ.
		
		๒๓๑๐ 
		ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.
		
		๒๓๑๗ 
		พม่าเกณฑ์ทหารมอญมาตีไทยที่ตำบลสามสบ ท่าดินแดง มีพญามอญหัวหน้า ๔ คน คือ
		   พระยาเจ่ง 
		เจ้าเมืองอัตรัน เป็นหัวหน้าใหญ่ พระยาอู่ตละเลี้ยงและตละเกล็บ 
		ทหารมอญเหล่านี้ต่างมีความแค้นเคืองพม่าที่ได้กระทำทารุณกรรมต่อชาวมอญ 
		ดังนั้น แทนที่จะมารบกับไทยตามที่พม่าเกณฑ์มา 
		กลับยกทัพเข้าตีพม่าเสียเองที่เมาะตะมะ 
		จนพม่าต้องทิ้งเมืองหนีไปร่างกุ้งเพราะเข้าใจว่าทัพไทยบุกเข้าโจมตีโดยไม่ทันรู้ตัวทัพมอญบุกตีพม่ารุกเข้าไปจนได้เมืองสะโตงหงสาวดี 
		ครั้นพอถึงร่างกุ้ง อะแซ-หวุ่นกี้แม่ทัพ 
		พม่ายกกำลังขึ้นปราบปราม มอญสู้ไม่ได้จึงหนีเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารทางเมืองตาก 
		และด่านเจดีย์สามองค์ ประมาณ ๑๐,๐๐๐ 
		คน พระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ 
		ให้เตรียมพลไปรับครอบครัวมอญเหล่านั้นให้ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ปากเกร็ด 
		แขวงเมืองนนทบุรีและ 
		"สามโคก"
		
		
		ให้พระยารามัญวงศ์ มียศเสมอ จตุสดมภ์ หรือเรียกว่า 
		"จักรีมอญ"
		
		
		เป็นหัวหน้าดูแลครัวมอญทั่วไป 
		
		
		สมัยกรุงสมัยรัตนโกสินทร์ 
		
		
		พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในรัชสมัยของพระองค์ 
		เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๕๘
		   พระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่าได้ทรงเกณฑ์แรงงานชาวมอญให้สร้างพระธาตุที่เมืองเมงถุนให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก 
		สร้างความลำบากยากเข็ญแก่ชาวมอญเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง 
		จึงพากันอพยพหลบหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทยทางเมืองตาก 
		เมืองอุทัยธานี และทางด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี จำนวน ๔๐,๐๐๐ 
		คน ดังกล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ตอนหนึ่งว่า 
		
		
		"เมื่อทรงทราบข่าวว่า 
		ครัวมอญอพยพเข้ามา 
		จึงโปรดให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จขึ้นไปคอยรับครัวมอญ ทีเมืองนนทบุรี 
		จัดจากและไม้สำหรับปลูกสร้างบ้านเรือนและเสบียงอาหารของพระราชทานขึ้นไปพร้อมเสร็จทางเมืองกาญจนบุรี 
		โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฏฯ 
		(รัชกาลที่ 
		๔)
		
		
		คุมไพร่พลสำหรับป้องกันครัวมอญ 
		และเสบียงอาหารของพระราชทานออกไปรับครัวมอญทางหนึ่ง 
		โปรดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีเป็นผู้ใหญ่เสด็จกำกับ 
		
		
		ทางเมืองตากนั้นโปรดให้เจ้าพระยาอภัยภูธร ที่สมุหนายกเป็นผู้ขึ้นไปรับครัวมอญมาถึงเมืองนนทบุรี 
		เมื่อ ณ วันพุธ เดือน ๙ แรม ๓ ค่ำ ปีกุน สัปตศก จุลศักราช ๑๑๗๗ พ.ศ.
		
		๒๓๕๘ 
		เป็นจำนวน ๔๐,๐๐๐ 
		เศษ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในแขวงเมืองปทุมธานีบ้าง 
		เมืองนนทบุรีบ้าง"
		 
		
		
		พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเอาพระทัยใส่ 
		ดูแลทุกข์ สุข ครอบครัวมอญเหล่านั้นมิได้ขาด ครั้นถึงเดือน ๑๑ พ.ศ.
		
		๒๓๕๘ 
		พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ 
		ได้เสด็จประพาสเมืองสามโคกโดยทางชลมารค 
		เพื่อทรงเยี่ยมเยียนชาวรามัญที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ พระองค์ทรงประทับ ณ 
		พลับพลาริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงกับเมืองสามโคก 
		(ตรงหน้าวัดปทุมทองปัจจุบันนี้)
		
		
		ทรงรับดอกบัวจากพสกนิกร ซึ่งนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายอยู่เป็นเนืองนิตย์ 
		จึงพระราชทานนามเมืองสามโคกให้เป็นสิริมงคลใหม่ว่า 
		"ประทุมธานี"
		
		
		เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๓๕๘ ยกฐานะเป็นหัวเมืองชั้นตรี 
		ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในวรรณคดีสำคัญของสุนทรภู่ ๒ เรื่อง คือ 
		
		
		นิราศภูเขาทอง 
		(แต่งราว 
		พ.ศ.
		
		๒๓๗๑)
		
		
		ว่า 
		
		
		"ถึงสามโคกโศกถวิลถึงปิ่นเกล้า 
		
		
		พระพุทธเจ้าหลวงบำรุงซึ่งกรุงศรี 
		
		
		ประทานนามสามโคกเป็นเมืองตรี 
		
		
		ชื่อประทุมธานีเพราะมีบัว" 
		
		
		(นิราศวัดเจ้าฟ้า 
		แต่งราว พ.ศ.
		
		๒๓๗๙) 
		
		
		"จึงที่นี้มีนามชื่อสามโคก 
		
		
		เป็นคำโลกสมมุตติสุดแถลง 
		
		
		ครั้งพระโกศโปรดปรานประทานแปลง 
		
		
		ที่ตำแหน่งมอญมาสามิภักดิ์ 
		
		
		ชื่อประทุมธานีที่เสด็จ 
		
		
		เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก 
		
		
		มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก 
		
		
		พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านพารา" 
		
		
		ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 
		๕ ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 
		ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมมหาดไทย พ.ศ.
		
		๒๔๓๗
		(ร.ศ.
		
		๑๑๓)
		
		
		ให้เมืองประทุมธานี นครเขื่อนขันธ์ เมืองสมุทรปราการ 
		เป็นหัวเมืองแขวงมณฑลกรุงเทพฯ ทรงมีพระราชาธิบายว่า 
		เป็นหัวเมืองที่อยู่ไกลกรุงเทพฯ เพียงพันเส้นเท่านั้น 
		ประกอบกับมีโจรผู้ร้ายชุกชุม ให้มาขึ้นสังกัดกระทรวงนครบาล 
		เพื่อที่ลาดตระเวนจะจับโจรผู้ร้าย ไม่ต้องไปขอตรา 
		เจ้ากระทรวงมหาดไทยอีกต่อไป 
		
		
		ปี พ.ศ.
		
		๒๔๔๑-๒๔๔๒ 
		(ร.ศ.
		
		๑๑๗-๑๑๘)
		
		
		พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
		โปรดให้ทำบัญชีสำมะโนประชากรของเมืองประทุมธานี 
		ปรากฏว่ามีประชากรในเมืองประทุมธานีทั้งสิ้น ๒๑,๓๖๐ 
		คน 
		
		
		พ.ศ.
		
		๒๔๕๙ 
		พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้ใช้คำว่า 
		"จังหวัด"
		
		
		แทนคำว่าเมือง ดังนั้นเมืองประทุมธานี จึงเป็นจังหวัดประทุมธานีเป็นต้นมา 
		โดยเปลี่ยนการเขียนใหม่ด้วย คือ 
		"ประทุมธานี"
		
		เป็น 
		"ปทุมธานี"
		
		
		ขึ้นอยู่กับมณฑลกรุงเก่า มีเขตการปกครอง ๓ อำเภอ คือ 
		อำเภอบางกะดี อำเภอสามโคก และอำเภอเชียงราก 
		
		
		ทั้งสามอำเภอตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ ๆ กัน 
		และมีอาณาเขตการปกครองของแต่ละอำเภอเป็นแนวลึกไปทางทิศตะวันตก 
		ซึ่งไม่เหมาะแก่การปกครองเป็นอย่างยิ่ง 
		ทางราชการจึงได้ประกาศให้แบ่งเขตการปกครองเสียใหม่ 
		และให้ย้ายอำเภอเชียงรากไปตั้งที่ตำบลระแหงทางทิศตะวันตก 
		ติดต่อกับอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี เรียกว่า 
		"อำเภอระแหง"
		
		
		ไปก่อน ตามหนังสือศาลากลางเมืองประทุมธานีที่ ๘๒๔/๓๒๒๘ 
		ลงวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.
		
		
		๒๔๕๘ แล้วให้เปลี่ยนชื่ออำเภอ ระแหง เป็นอำเภอลาดหลุมแก้ว 
		แต่นั้นเป็นต้นมา 
		
		
		ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว 
		รัชกาลที่๗ ทางราชการให้ยุบจังหวัดธัญญบุรี เมื่อ พ.ศ.
		
		
		๒๔๗๕ ทำให้จังหวัดปทุมธานีมีเขตพื้นที่อีก ๔ 
		อำเภอเพิ่มเข้ามารวมเป็น ๗ อำเภอ คือ 
		
		
		อำเภอบางกะดี 
		
		
		อำเภอสามโคก 
		
		
		อำเภอลาดหลุมแก้ว 
		
		
		อำเภอธัญบุรี 
		
		
		อำเภอลำลูกกา 
		
		
		อำเภอบางหวาย 
		
		
		อำเภอหนองเสือ 
		
		
		(สำหรับอำเภอบางหวาย 
		ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น 
		"อำเภอคลองหลวง"
		
		
		เมื่อปี พ.ศ.
		
		๒๔๔๘ 
		เมื่อทางราชการโดยบริษัทคูนาสยาม 
		ได้ขุดคลองที่สองเชื่อมคลองรังสิตทางทิศใต้กับคลองระพีพัฒน์ทางทิศเหนือแล้วเสร็จ 
		เนื่องจากตัวอาคารที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่ริมคลองที่หลวง 
		(ราชการ)
		
		
		ได้ขุดขึ้น) 
		
		
		ดังนั้น เมืองสามโคก 
		จึงเป็นที่ตั้งของจังหวัดปทุมธานีมาก่อน 
		แต่เนื่องจากสภาพของเมืองมีลักษณะเป็นแหล่งอพยพ 
		เจ้าเมืองผู้ใดมีบ้านเรือนตั้งอยู่ ณ ที่ใด 
		ที่ว่าการเมืองก็อยู่ที่นั่นจึงทำให้ที่ว่าการเมืองต้องย้ายอยู่ถึง ๘ ครั้ง 
		ดังนี้ คือ 
		
		
		ครั้งที่ ๑ ย้ายจากตำบลบ้านงิ้ว ปากคลองบ้านพร้าว 
		บริเวณวัดพญาเมือง 
		(วัดร้าง)
		
		
		ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ไปตั้งที่บ้านสามโคก 
		ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาระหว่างวัดตำหนักกับวัดสะแก 
		
		
		ครั้งที่ ๒ ย้ายมาจากบ้านสามโคก ไปตั้งที่บ้านตอไม้ 
		ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงกับวัดปทุมทองในปัจจุบัน 
		
		
		ครั้งที่ ๓ ย้ายจากบ้านตอไม้ไปตั้งที่บ้านสามโคก 
		ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาตามเดิม 
		
		
		ครั้งที่ ๔ 
		ย้ายจากบ้านสามโคกไปตั้งที่ปากคลองบางหลวงไหว้พระ 
		ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลบ้านฉาง อำเภอเมืองปทุมธานี ปัจจุบัน 
		
		
		ครั้งที่ ๕ 
		ย้ายจากปากคลองบางหลวงไหว้พระไปตั้งระหว่างปากคลองบางโพธิ์ 
		ฝั่งเหนือกับคลองบางหลวงฝั่งใต้ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา 
		
		
		ครั้งที่ ๖ 
		(พ.ศ.
		
		๒๔๕๙)
		
		
		
		ย้ายจากปากคลองบางโพธิ์เหนือไปตั้งที่บ้านโคกชะพลูใต้คลองบางทรายฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา 
		
		
		ครั้งที่ ๗ 
		(พ.ศ.
		
		๒๔๖๐)
		
		
		ย้ายจากบ้านโคกชะพลู ไปตั้งที่ตำบลบางปรอก 
		อำเภอเมืองปทุมธานี ปัจจุบัน ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา 
		
		
		ครั้งที่ ๘ 
		(พ.ศ.
		
		๒๕๑๙)
		
		
		ย้ายจากตำบลบางปรอก ไปตั้งที่ตำบลบ้านฉางนอกเขตเทศบาลเมืองปทุมธานี 
		ตรงสี่แยกถนนปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว 
		ติดกับโรงพยาบาลปทุมธานีและด้านหน้าติดกับถนนแยกไปอำเภอสามโคก 
		ย้ายไปปฏิบัติการเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
		
		
		๒๔๑๙ 
		
		
		การก่อสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดปทุมธานี ที่ย้ายครั้งที่ ๘ 
		ใหม่นี้ ได้เริ่มลงมือก่อสร้างอาคารสมัย พลตรีวิทย์ 
		
		
		นิ่มนวล เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ 
		สมเด็จพระสังฆราช 
		ได้เสด็จมาทรงเป็นองค์ประธานประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ 
		กุมภาพันธ์ พ.ศ.
		
		๒๕๑๘ 
		ดังคำกราบทูลของพลตรีวิทย์ 
		
		
		นิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี 
		ถวายรายงานแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชตอนหนึ่งว่า 
		
		
		".......เกล้ากระหม่อมและบรรดาข้าราชการ 
		พ่อค้า ประชาชน ชาวจังหวัดปทุมธานีรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณ เป็นล้นพ้น 
		ที่ฝ่าพระบาทได้ทรงพระกรุณาสละเวลาเสด็จมาเป็นองค์ประธาน ในพิธีวางศิลาฤกษ์ 
		อาคารศาลากลางจังหวัดปทุมธานีหลังใหม่ในวันนี้ นับเป็นพระเดชพระคุณหาที่สุด 
		มิได้...." 
		
		
		ที่ดินในการปลูกสร้างอาคารศาลากลางหลังใหม่นี้ คุณนายกฐิน 
		
		กุยยกานนท์ 
		ได้ยกให้กับทางราชการ จำนวน ๑๖ ไร่ การก่อสร้างใช้เงินงบประมาณ 
		ในการถมดินและก่อสร้าง รวมทั้งสิ้น ๘,๙๒๖,๐๐๐ 
		บาท (แปดล้านเก้าแสนสองหมื่นหกพันบาท) 
		
		
		เมื่อสร้างอาคารหลังใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว 
		จึงได้ขนย้ายพัสดุครุภัณฑ์ เอกสารต่าง ๆ จากศาลากลางเก่า ไปศาลากลางใหม่ 
		เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.
		
		
		๒๕๑๙ 
		
		
		เมื่อนายสุธี 
		
		
		โอบอ้อม มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี 
		ได้สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองปทุมธานีเป็นอย่างมาก 
		ได้สำรวจค้นหาศาลหลักเมืองปทุมธานีและสอบถามชาวเมืองปทุมธานี แล้วปรากฏว่า 
		เมืองนี้ได้โยกย้ายตัวเมืองอยู่หลายครั้งและไม่เคยมีศาลหลักเมืองมาก่อนเหมือนเมืองอื่น 
		ๆ จึงดำริเห็นเป็นสำคัญว่า ควรจะสร้างศาลหลักเมืองไว้ให้มั่นคง 
		เพื่อเป็นเครื่อง     
		
		
		ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวปทุมธานี 
		พร้อมทั้งให้เกิดความรักสามัคคีกันให้มากยิ่งขึ้น 
		ทั้งยังจะนำความสงบสุขร่มเย็นมาสู่เมืองด้วย 
		ความดำรินี้จึงเห็นพ้องต้องกันระหว่างข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้า และประชาชน 
		
		
		ได้ร่วมกันสละทรัพย์คนละเล็กคนละน้อย ดำเนินการสร้างศาลหลักเมืองขึ้น 
		
		
		โดยเริ่มลงมือทำพิธีสะเดาะพื้นที่ที่จะสร้างศาลหลักเมือง เพื่อความสวัสดิมงคล 
		เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ.
		
		
		๒๕๑๙ 
		
		
		ต่อมาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 
		(วาสน์ 
		
		วาสโน)
		
		
		ได้เสด็จมาทรงเป็นประธานวางศิลาฤกษ์หลักเมือง เมื่อวันจันทร์ วันที่ ๓ 
		มกราคม พ.ศ.
		
		๒๕๒๐ 
		ตรงกับเวลา ๑๕.๐๐ 
		น.
		
		
		เดือนยี่ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีมะโรง ณ 
		บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดปทุมธานี 
		
		
		ทางกรมศิลปากร ได้เป็นผู้ออกแบบประดิษฐ์ตัวเสาหลักเมือง 
		ซึ่งทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ที่ทางกรมป่าไม้ได้นำมาจากสวนป่าลาดยาว 
		จังหวัดนครสวรรค์มอบให้ 
		ครั้นเมื่อประดิษฐ์เสร็จเรียบร้อยแล้วได้นำเข้าพระตำหนักสวนจิตรลดาเพื่อทูลเกล้า 
		ฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
		(รัชกาลที่ 
		๙)
		
		
		ทรงเจิมเมื่อวันศุกร์ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.
		
		๒๕๒๑ 
		เวลาฤกษ์ ๘.๒๙ 
		น.
		
		
		และในคืนนี้เวลาประมาณ ๕ ทุ่ม 
		ได้เกิดจันทรคราสจับครึ่งดวงเป็นที่น่าอัศจรรย์ 
		
		
		เมื่อสร้างตัวศาลหลักเมืองแบบจตุรมุขยอดปรางค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว 
		จึงได้กำหนดการประกอบพิธียกเสาหลักเมืองจังหวัดปทุมธานี เมื่อวันพุธ วันที่ 
		๒๓ สิงหาคม พ.ศ.
		
		๒๕๒๑ 
		โดยมี ฯพณฯ พลเอกเปรม 
		
		
		ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี 
		ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี 
		มีขบวนแห่ยาวเหยียด มีการสมโภชเฉลิมฉลองเป็นงานใหญ่อย่าง    
		
		
		เอิกเกริก 
		
		
		ศาลหลักเมืองจึงตั้งเด่นเป็นสง่า 
		อยู่หน้าศาลากลางจังหวัดปทุมธานี มีผู้คนมากราบไหว้บูชากันอยู่มิได้ขาด 
		นับว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์รวมน้ำใจของชาวปทุมธานี 
		ให้มีความรักสมัครสมานสามัคคีกันให้แข็งแกร่ง เพื่อปกป้องคุ้มครองสถาบัน 
		ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพรักยิ่งชีวิตของชาวไทย 
		ไว้ให้มั่นคงถาวรสืบไปชั่วกาลนาน 
		
		
		 การจัดรูปการปกครองระบบมณฑลเทศาภิบาล 
		
		
		แต่เดิมการปกครองบ้านเมืองมีข้อสำคัญเป็นหลัก ๒ ประการ คือ 
		เมื่อมีข้าศึกศัตรู    
		
		
		ภายนอก ชาวเมืองต้องช่วยกันรบพุ่งต่อสู้ป้องกันบ้านเมืองประการหนึ่ง 
		ซึ่งตรงกับ 
		"การทหาร"
		
		
		และในยามที่บ้านเมืองเป็นปกติสุข 
		ก็ช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองอีกประการหนึ่ง ซึ่งตรงกับการ 
		"การพลเมือง"
		
		
		ด้วยเหตุนี้กรมต่าง ๆ จึงต้องทำงานทั้งในด้านการทหารและพลเรือน 
		สุดแต่จะมีงานฝ่ายไหนเป็นสำคัญ แต่การสงครามนั้นนาน ๆ จะมีสักครั้ง 
		จึงมักจะมีงานฝ่ายพลเรือนมากกว่า และเมื่อก่อนที่จะแบ่งแยก 
		ระเบียบราชการเป็นฝ่ายทหารและพลเรือนนั้น ในราชการฝ่ายพลเรือน 
		มีกรมใหญ่อยู่ ๔ กรม คือ กรมเมือง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา เรียกรวมกันว่า 
		"จตุสดมภ์"
		
		
		โดยหัวหน้ากรมทั้ง ๔ มีศักดิ์เสมอกันทั้ง ๔ คน 
		เป็นใหญ่กว่าข้าราชการทั้งปวง ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ 
		ได้ทรงกำหนดราชการให้เป็นฝ่ายทหารและพลเรือน 
		โดยทรงตั้งหน่วยราชการเพิ่มขึ้นอีก ๒ กรม คือ กรมกลาโหม และกรมมหาดไทย 
		ซึ่งกรมทั้ง ๒ นี้มีฐานะใหญ่กว่าจตุสดมภ์ดังกล่าวแล้ว 
		และเป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชาฝ่ายทหารและพลเรือนทั้งหมด 
		มีอัครมหาเสนาบดีเป็นหัวหน้าฝ่ายละคน คือ สมุหพระกลาโหม และสมุหนายก 
		แต่ก็มิใช่เป็นการแบ่งแยกราชการออกเป็นทหารและพลเรือน เช่นในปัจจุบัน 
		ข้าราชการทั้ง ๓ ฝ่ายยังคงมีหน้าที่ต้องทำทั้งการทหารและพลเรือนอยู่อย่างเดิม 
		ส่วนการปกครองหัวเมืองนั้น อำนาจการปกครองบังคับบัญชาแตกต่างกันออกไป 
		ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะทางใกล้ไกล คือ หัวเมืองที่อยู่ห่างไกลจากราชธานีมาก 
		ก็จะมีอิสระในการปกครองตนเองมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้แบ่งออกเป็นเมืองเอก โท ตรี 
		และมืองจัตวา โดยให้เมืองน้อยขึ้นกับเมืองใหญ่ คือ 
		หัวเมืองชั้นในขึ้นกับราชธานี และเมืองเล็กขึ้นกับเมืองพระยามหานคร เป็นต้น 
		
		
		ระบบการปกครองดังกล่าวนี้ 
		ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามแต่เหตุการณ์และความเหมาะสม 
		ซึ่งก็ได้ใช้อยู่ตลอดมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๔๓๕ 
		จึงได้มีการปฏิรูปการบริหารราชการเสียใหม่ 
		โดยทรงแบ่งหน่วยราชการส่วนกลางออกเป็น ๑๒ กระทรวงด้วยกัน 
		แต่ละกระทรวงมีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา มีฐานะเท่าเทียมกันทุกตำแหน่ง 
		สำหรับการ    
		
		
		ปกครองส่วนภูมิภาค หรือการปกครองหัวเมือง 
		ซึ่งแต่เดิมได้แยกกันอยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม 
		และกรมท่า 
		(ก่อนเปลี่ยนเป็นกระทรวงการต่างประเทศ)
		
		
		ก็ได้ปรับปรุงให้รวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล มีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง รวม ๖ 
		มณฑล คือ มณฑลลางเฉียง หรือ มณฑลพายัพ มณฑลลาวพวน หรือมณฑลอุดร 
		(มณฑลนี้เมื่อก่อน 
		พ.ศ.
		
		๒๔๓๖ 
		รวมหัวเมืองฝั่งซ้าย 
		
		
		แม่น้ำโขงเข้าด้วย เช่น เมืองพวน และเมืองเชียงขวาง จนกระทั่ง ร.ศ.
		
		๑๑๒ 
		คงเหลือเพียง ๖ เมือง)
		
		
		มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา มณฑลลาวกลาง 
		และมณฑลภูเก็ต 
		แต่การรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลดังกล่าวนี้ยังไม่ใช่การปกครองลักษณะมณฑลเทศาภิบาล 
		
		
		 การเทศาภิบาล 
		
		
		การเทศาภิบาล คือ 
		การปกครองที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการออกไปดำเนินการในส่วนภูมิภาค 
		โดยแบ่งการปกครอง เป็นมณฑล เมือง อำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน 
		ทั้งนี้ได้จัดแบ่งหน้าที่    
		
		
		การงานออกเป็นสัดส่วน โดยมีสมุหเทศาภิบาล ผู้ว่าราชการเมือง และนายอำเภอ 
		เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการจะดูแลทุกข์สุขของประชาชนในเขตท้องที่นั้น 
		รวมทั้งมีกำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ช่วยเหลือปฏิบัติงานในระดับตำบล 
		และหมู่บ้าน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งการเทศาภิบาลเป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาค 
		มีลักษณะรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง 
		โดยการที่รัฐบาลจัดส่งข้าราชการไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง ๆ 
		แทนที่จะให้ส่วนภูมิภาคจัดการปกครองกันเอง 
		อันเป็นการยกเลิกการปกครองแบบโบราณดั้งเดิมของไทยที่เรียกว่า 
		"กินเมือง" 
		
		
		ให้หมดสิ้นไป 
		
		
		เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริ 
		จะจัดการปกครอง   
		
		
		พระราชอาณาจักรให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 
		ทรงเห็นว่าการที่หัวเมืองต่างก็แยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงต่าง ๆ ถึง ๓ 
		กระทรวงนั้น เป็นการยากที่จะจัดการปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ 
		จึงทรงมีพระบรมราชโองการให้แบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทย 
		และกระทรวงกลาโหมเสียใหม่และเมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวง 
		โดยให้รวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทย 
		ต่อมาจึงได้ดำเนินการจัดระบบการปกครองในรูปมณฑลเทศาภิบาลดังกล่าว   
		
		
		ข้างต้น ซึ่งได้เริ่มใช้อย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ.
		
		๒๔๓๗ 
		แต่ก็มิได้ดำเนินการพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณา-จักร 
		คงจัดตั้งมณฑลขึ้นตามความเหมาะสมและให้ปรับปรุงมณฑลที่ตั้งก่อน พ.ศ.
		
		
		๒๔๓๗ ให้เป็นลักษณะเทศาภิบาลเหมือนกันเป็นลำดับ ดังนี้ 
		
		
		พ.ศ.
		
		๒๔๓๗ 
		เมื่อเหตุการณ์ ร.ศ.
		
		
		๑๑๒ ผ่านพ้นไปแล้วได้เริ่มจัดระบบการเทศาภิบาล 
		โดยเลิกประเพณีการมีประเทศราชและได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลรวม ๓ มณฑล 
		คือมณฑลพิษณุโลก มณฑลปราจีน 
		และได้รวบรวมหัวเมืองจากกระทรวงกลาโหมและกรมท่ามาตั้งเป็นมณฑลราชบุรี 
		
		
		พ.ศ.
		
		๒๔๓๘ 
		ตั้งขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑล 
		
		
		กรุงเก่า 
		(เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า 
		มณฑลอยุธยา ในรัชกาลที่ ๖) 
		
		
		พ.ศ.
		
		๒๔๓๙ 
		ตั้งชื่อ ๒ มณฑล คือ มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร 
		(ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลสุราษฎร์) 
		
		
		พ.ศ.
		
		
		๒๔๔๐ ตั้งขึ้น ๑ มณฑล โดยโอนหัวเมืองของไทย 
		และหัวเมืองมลายูฝ่ายตะวันตก ซึ่งเป็นประเทศราชมาก่อน ตั้งเป็นมณฑลไทรบุรี 
		
		
		พ.ศ.
		
		
		๒๔๔๒ ตั้งขึ้น ๑ มณฑล คือ มณฑลเพชรบูรณ์ 
		มณฑลนี้มีการตั้งและยุบถึง ๒ ครั้ง 
		เพราะเป็นท้องที่กันดารและเป็นมณฑลที่มีท้องที่เล็กกว่ามณฑลอื่น 
		
		
		พ.ศ.
		
		
		๒๔๔๒ ได้ปรับปรุงจัดระบบมณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน 
		ซึ่งเป็นมณฑลในสภาพเดิม ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล 
		
		
		พ.ศ.
		
		
		๒๔๔๙ ตั้งมณฑลขึ้นใหม่ ๒ มณฑล คือ มณฑลจันทบุรี 
		และได้แบ่งหัวเมืองจากมณฑลนครศรีธรรมราช มารวมกันจัดตั้งเป็นมณฑลปัตตานี 
		
		
		พ.ศ.
		
		
		๒๔๕๕ ตั้งมณฑลเพิ่มอีก ๑ มณฑล 
		โดยแบ่งแยกท้องที่จากมณฑลอีสาน ออกเป็น ๒ มณฑล เรียกว่า 
		มณฑลอุบลราชธานีและมณฑลร้อยเอ็ด 
		
		
		พ.ศ.
		
		
		๒๔๕๘ ตั้งมณฑลเพิ่มขึ้นอีก ๑ มณฑล 
		โดยแบ่งพื้นที่จากมณฑลพายัพ มาตั้งเป็นมณฑลมหาราษฎร์ อีก ๑ มณฑล 
		
		
		มณฑลกรุงเทพฯ ได้จัดตั้งเป็นมณฑล เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๔๓๘ 
		เนื่องจากเป็นที่ตั้งราชธานีจึงมีระเบียบการปกครองผิดกับระเบียบการปกครองของมณฑลอื่น 
		ๆ กล่าวคือ ไม่มีตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาล หรือสมุหเทศาภิบาล มณฑลกรุงเทพฯ 
		อยู่ใต้บังคับบัญชารับผิดชอบของเสนาบดีกระทรวงนครบาลโดยเฉพาะ 
		และเมื่อรวมกระทรวงนครบาลเข้ากับกระทรวงมหาดไทยแล้ว จึงมีสมุหนครบาลเป็นหัวหน้ารับผิดชอบเช่นเดียวกับมณฑลอื่น 
		ๆ มณฑลกรุงเทพฯ มีเมืองอยู่ในปกครอง ๖ เมือง คือ พระนคร ธนบุรี ปทุมธานี 
		นครเขื่อนขันธ์ 
		(พระประแดง)
		
		
		สมุทรปราการและนนทบุรี 
		
		
		หลังจากที่ได้จัดการปกครองระบบเทศาภิบาลแล้ว 
		ก็มีการปรับปรุงแก้ไขตลอดมาและเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙ 
		พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ 
		ให้ประกาศเปลี่ยนคำว่า 
		"เมือง"
		
		เป็น 
		"จังหวัด"
		
		
		ต่อเมื่อมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การปกครองระบบเทศาภิบาล 
		ได้ถูกยุบเลิกโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย 
		พ.ศ.
		
		
		๒๔๗๙ 
		ซึ่งให้ถือจังหวัดเป็นเขตการปกครองส่วนภูมิภาคนับแต่นั้นเป็นต้นมา 
		
		
		 การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน 
		
		
		การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง 
		เมื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น 
		ปรากฏตามระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
		
		๒๔๗๖ 
		จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ 
		จังหวัดมีฐานะเป็น      
		
		
		หน่วยบริหารราชการแผ่นดิน 
		มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร 
		เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
		นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว 
		ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย 
		เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม 
		พ.ศ.
		
		
		๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย เหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก 
		
		
		๑)
		
		
		การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน 
		สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง 
		
		
		๒)
		
		
		เพื่อประหยัดค่าจ่ายของประเทศให้น้อยลง 
		
		
		๓)
		
		
		เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด 
		จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล มณฑลรายงานต่อกระทรวง 
		เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น 
		
		
		๔)
		
		
		รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วน    
		
		
		ภูมิภาคยิ่งขึ้น 
		และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง 
		
		
		ต่อมาในปี พ.ศ.
		
		
		๒๔๙๕ 
		รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง 
		ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ 
		
		
		๑)
		
		
		จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล 
		แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
		
		
		๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ 
		
		
		๒)
		
		
		อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ 
		คณะกรมการจังหวัดนั้น ได้เปลี่ยนมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ 
		ผู้ว่าราชการจังหวัด 
		
		
		๓)
		
		
		ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด 
		ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด 
		ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด 
		
		
		ต่อมา 
		ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ 
		ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ 
		โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น
		 
		
		
		๑)
		
		
		จังหวัด 
		
		
		๒)
		
		
		อำเภอ 
		
		
		จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด 
		มีฐานะเป็นนิติบุคคลการตั้ง 
		     ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด 
		ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ 
		และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น 
		
		
		 ที่มา
		
		: 
		
		ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดปทุมธานี.
		
		
		กรุงเทพ,
		
		
		โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น 
		: 
		๒๕๒๗. 
       |