ประวัติศาสตร์จังหวัดชัยภูมิ
		
		 สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา 
		
		          
		
		ผืนแผ่นดินไทยในอดีตเต็มไปด้วยอารยธรรมอันสูงส่งในนามของอาณาจักรต่าง ๆ ที่ 
		
		
		วิวัฒนาสืบต่อกันมาโดยมิขาดสาย เมืองไทย แผ่นดินไทย 
		จึงเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลของวงการนักปราชญ์ทางโบราณคดีทั่วโลก 
		
		
		ดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันจึงกลายเป็นแผ่นดินแห่งประวัติศาสตร์ และอารยธรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย 
		
		          
		
		ซึ่งดินแดนแห่งนี้ เมื่อครั้งโน้นเรียกว่า 
		ดินแดนสุวรรณภูมิ
		
		
		หรือแหลมอินโดจีนก่อนที่ชาติไทยจะได้เข้ามาตั้งภูมิลำเนานั้น 
		เดิมเป็นที่อยู่ของชน ๓ ชาติ คือ ขอม,มอญและละว้า 
		
		          
		ก.
		
		ขอม                  
		
		อยู่ทางภาคตะวันออกของลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้อันเป็นที่ตั้งของ 
		
		
		                             
		
		ประเทศกัมพูชาปัจจุบันนี้ 
		
		          
		ข.
		
		มอญหรือรามัญ     
		
		อยู่ทางตะวันออกของลุ่มแม่น้ำสาละวิน ตลอดจนถึงลุ่มแม่น้ำ 
		
		
		                             
		อิรวดี 
		ซึ่งเป็นอาณาเขตของสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพ 
		
		
		                             
		
		พม่าในปัจจุบัน 
		
		          
		ค.
		
		ละว้า                 
		
		อยู่ทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นอาณาเขตของประเทศไทย 
		
		
		                             
		ปัจจุบัน 
		อาณาเขตละว้า แบ่งเป็น ๓ อาณาจักร คือ 
		๑.อาณาจักรทวารวดี 
		หรือละว้าใต้    
		
		มีอาณาเขตทางภาคกลางบริเวณลุ่มแม่น้ำ
		 
		
		
		เจ้าพระยาแผ่ออกไปจากชายทะเลตะวันตกและตะวันออกของอ่าวไทยซึ่งมีนครปฐมเป็นราชธานี 
		๒.อาณาจักรยางหรือโยนกหรือละว้าเหนือ 
		มีอาณาเขตที่เป็นภาคเหนือของประเทศ
		 
		
		
		ไทยในปัจจุบันมีราชธานีอยู่ที่เมืองเงินยาง 
		
		          
		๓.
		
		อาณาจักรโคตรบูรณ์หรือพนม 
		มีอาณาเขตที่เป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในปัจจุบันตลอดไปจนถึงฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง 
		มีเมืองนครพนมเป็นราชธานี 
		
		 แต่ก่อนที่จะมีคนไทยอพยพเข้ามานั้น 
		ดินแดนแห่งนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงในรูปของผู้เข้าครอบครอง 
		
		          
		
		ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ขอมได้เริ่มแผ่อำนาจเข้าไปในอาณาเขตของละว้า 
		และสามารถครอบครองอาณาเขตละว้าทั้ง ๓ ได้ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ 
		โดยเฉพาะอาณาจักรโคตรบูรณ์ขอมได้รวมเข้าเป็นอาณาจักรของขอมโดยตรง 
		- 
		
		อาณาจักรทวารวดี ส่งคนมาเป็นอุปราชปกครอง 
		- 
		
		อาณาจักรยางหรือโยนก ให้ชาวพื้นเมืองปกครองตนเองแต่ต้องส่งส่วยให้แก่ขอม 
		
		ในระยะเวลาประมาณ ๒๐๐ ปี ขอมได้แผ่ขยายศิลปวิทยาการอันเป็นความรู้ทางศาสนา
		 
		
		ปรัชญา 
		สถาปัตย์และอารยธรรมอีกมากมาย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากอินเดีย 
		และต่อมาพุทธศตวรรษที่ ๑๖ 
		อำนาจของขอมต้องเสื่อมลงดินแดนส่วนใหญ่ได้เสียแก่พม่าไป 
		ซึ่งในเวลานั้นพม่ามีอาณาเขตอยู่ทางลุ่มแม่น้ำอิรวดีตอนเหนือ 
		ได้รุกรานอาณาดินแดนของพวกมอญโดยลำดับมา และได้สถาปนาเป็นอาณาจักรขึ้น 
		มีกษัตริย์ทรงพระนามว่า อโนระธามังช่อ หรือพระเจ้าอนุรุทมหาราช 
		ปราบได้ดินแดนมอญลาวได้ทั้งหมด แต่ภายหลังเมื่อพระเจ้าอนุรุทสิ้นพระชนม์แล้วพม่าก็หมดอำนาจ 
		ขอมก็ได้อำนาจอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งหลังนี้ก็เป็นความรุ่งเรืองตอนปลาย 
		จึงอยู่ได้ไม่นานนัก เปิดโอกาสให้ไทยซึ่งได้เข้ามาตั้งทัพอยู่เขตละว้าเหนือ 
		โดยขยายอำนาจเข้ามาแล้วขับไล่ขอมเจ้าของเดิมออกไป 
		
		          
		
		จากประวัติศาสตร์ดังกล่าว 
		อาณาจักรทวารวดีเป็นอาณาจักรหนึ่งของละว้าซึ่งมีอาณาเขตอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย 
		ตั้งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ สืบต่อมาจนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ ๑๖ 
		เมื่อพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ 
		แห่งขอมได้แยกขยายอำนาจออกมาตั้งลุ่มน้ำเจ้าพระยา 
		
		          
		
		อาณาจักรโคตรบูรณ์หรือพนม มีอาณาเขตอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด 
		ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยขอมตอนปลาย 
		
		          
		
		ถ้าอาศัยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ประกอบกับภูมิศาสตร์ก็น่าจะเชื่อว่าดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรโคตรบูรณ์ 
		หรือพนมก็คงครอบคลุมมาถึงดินแดนที่เป็นที่ตั้งของเมืองชัยภูมิในปัจจุบัน 
		
		          
		
		โดยศึกษาจากหลักฐานศิลปะวัดโบราณในจังหวัดชัยภูมิ 
		
		อันได้แก่ใบเสมาหินทรายแดงที่พบที่บ้านกุดโง้ง 
		ตำบลหนองนาแซง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งแกะสลักเป็นรูปเสมาธรรมจักร 
		บรรจุตัวอักษรอินเดียโบราณ 
		(ซึ่งศิลปอินเดียเองก็เป็นต้นฉบับของขอม)
		
		ศิลปวัตถุชิ้นนี้จัดอยู่ใน
		 
		
		"ศิลปทวารวดี"
		
		นอกจากนี้ยังจะเห็นได้ชัดจากพระธาตุบ้านแก้ง 
		หรือพระธาตุหนองสามหมื่น เป็นพระธาตุสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างประมาณ ๑๐ เมตร 
		สูงประมาณ ๒๕ เมตร ก่อด้วยอิฐถือปูนจากฐานของพระธาตุขึ้นไปประมาณ 
		
		๑๐ เมตร  
		
		ทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ทิศ 
		
		แต่ละทิศจำหลักเทวรูป   
		
		ลักษณะเป็น 
		
		ศิลปทวารวดี 
		
		          
		
		ปรางค์กู่ 
		เป็นโบราณสถานที่ตั้งห่างจากจังหวัดประมาณ ๒ กิโลเมตร เป็นปรางค์เก่าแก่ 
		ก่อสร้างด้วยศิลาแลง ภายในปรางค์มีพระพุทธรูปเป็นศิลปทวารวดีประดิษฐานอยู่ 
		ดูจากศิลปและการก่อสร้าง ตลอดทั้งวัตถุก่อสร้างใช้ศิลาแลง 
		สันนิษฐานว่าคงจะสร้างในสมัยเดียวกันกับประสาทหินพิมาย 
		
		          
		
		ภูพระ 
		เป็นภูเขาเตี้ยอยู่ที่ตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ ระยะห่างจากตัวจังหวัด 
		๑๒ กิโลเมตร ตามผนังภูพระจำหลักเป็นพระพุทธรูปใหญ่องค์หนึ่ง 
		นั่งขัดสมาธิราบ 
		พระหัตถ์ขวาวางอยู่ที่พระเพลาพระหัตถ์ซ้ายวางพาดอยู่ที่พระชงฆ์ 
		
		หน้าตักกว้าง ๕ ฟุต เรียกว่า 
		"พระเจ้าตื้อ"
		
		
		และรอบพระพุทธรูปมีรอยแกะทับเป็นรูปพระสาวกอีกองค์หนึ่งสันนิษฐานว่า 
		คงจะสร้างในสมัยขอมรุ่นเดียวกับที่สร้างปรางค์กู่ก็เป็นได้ 
		พระพุทธรูปเหล่านี้มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปแบบอู่ทอง 
		มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ 
		
		          
		
		พระธาตุกุดจอก 
		สร้างเป็นแบบปรางค์ประดิษฐานพระพุทธรูปสมัยทวารวดี 
		อยู่ภายในตัวปรางค์สร้างในสมัยขอมเช่นกัน อาศัยจากหลักฐานต่าง ๆ 
		ประวัติศาสตร์ประกอบกับทางด้านภูมิศาสตร์ก็น่าจะเชื่อว่า 
		เมืองชัยภูมิในปัจจุบันเป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นร่วมสมัยเดียวกันกับลพบุรี,
		
		พิมาย 
		แต่ขอมจะสร้างชื่อเมื่อใดหรือศักราชใดนั้นหาหลักฐานที่ปรากฏแน่ชัดไม่ได้ 
		นอกจากจะสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยขอมมีอำนาจเข้าครอบครองในเขตลาว 
		โดยอาศัยหลักโบราณคดีวินิจฉัย เปรียบเทียบตลอดจน 
		
		ศิลปการก่อสร้างเทวรูป 
		ศิลปกรรมเป็นต้น ว่าการแกะสลักตามฝาผนัง 
		ตามปรางค์กู่มีส่วนคล้ายคลึงกับประสาทหินพิมายมากและอยู่ในบริเวณที่ราบสูงโคราชด้วยกัน 
		ระยะทางระหว่างประสาทหินพิมายกับปรางค์กู่ ชัยภูมิห่างกันประมาณ ๑๐๐ 
		กิโลเมตรเศษ ๆ เท่านั้น 
		
		          
		
		เมื่ออนุมานดูแล้ว 
		เมืองชัยภูมิปัจจุบันเป็นเมืองที่อยู่ในอิทธิพลของขอมมาก่อนและสร้างในสมัยเดียวหรือรุ่นเดียวกันกับเมืองพิมายหรือประสาทหินพิมายดังหลักฐานปรากฏข้างต้น 
		
		 สมัยอยุธยา 
		
		          
		
		ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ระหว่าง พ.ศ.
		
		๒๑๙๙-๒๒๓๑ 
		ซึ่งในสมัยนี้เองเป็นครั้งแรกที่เมืองเวียงจันทน์ได้มาขอเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา 
		หลังจากทางกรุงศรีอยุธยาได้รับเมือง 
		
		
		เวียงจันทน์เข้าเป็นเมืองขึ้นแล้ว 
		ชาวเมืองเวียงจันทน์ก็ได้อพยพเข้ามาประกอบอาชีพติดต่อกับกรุงศรีอยุธยามากขึ้นเรื่อย 
		ๆ 
		การเดินทางจากเวียงจันทน์เข้ามายังอยุธยาเส้นทางก็ผ่านพื้นที่ของเมืองชัยภูมิปัจจุบัน 
		ข้ามลำชี ข้ามช่องเขาสามหมด(สามหมอ)
		
		ชาวเวียงจันทน์ที่อพยพเดินทางผ่านไปผ่านมา เห็นทำเลแห่งนี้เป็นทำเลดีเหมาะในการเพาะปลูกทำไร่ 
		ทำนา จึงได้พากันเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากิน 
		เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ตลอดทั้งผู้เข้ามาอยู่อาศัยในแถบนี้มีแต่ความสันติสุขสงบเรียบร้อย 
		ดินแดนแห่งนี้จึงถูกขนานนามว่า 
		"ชัยภูมิ"
		
		เริ่มสร้างบ้านเรือนอยู่กันเป็นหลักแหล่ง 
		ผู้อพยพส่วนใหญ่อาศัยอยู่หนาแน่นตามลุ่มลำชี ตามบึง ตามหนองน้ำต่าง ๆ 
		เมื่อมีคนเพิ่มจำนวนมากขึ้นก็ตั้งเป็นหมู่บ้าน 
		โดยใช้ชื่อหมู่บ้านตามลักษณะที่ตั้ง 
		เช่นบ้านอยู่ริมฝั่งชีก็ตั้งชื่อว่าบ้านลุ่มลำชี 
		ถ้าใกล้หนองน้ำก็ตั้งชื่อบ้านตามหนองน้ำนั้น เช่น บ้านหนองนาแซง 
		บ้านหนองหลอด ฯลฯ 
		
		          
		
		ชาวพื้นเมืองชัยภูมิได้รับสืบทอดอารยธรรมต่าง ๆ จากบรรพบุรุษเหล่านี้ เช่น 
		ทางด้านภาษาพูด ภาษาเขียน 
		(ตัวหนังสือที่เขียนใส่ใบลานหรือหนังสือผูก)
		
		วรรณคดี ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอื่น ๆ 
		ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวชัยภูมิ 
		
		          
		
		เมื่อมีคนอยู่ในแดนนี้มากขึ้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราช 
		จึงได้โปรดให้เมืองชัยภูมิขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา 
		เพราะอยู่ใกล้กว่าและสะดวกในการปกครองดูแล 
		ตั้งแต่นั้นมาเป็นอันว่าเมืองชัยภูมิ อยู่ในความปกครองของเมืองนครราชสีมา 
		ตลอดมา 
		
		 สมัยกรุงธนบุรี 
		
		          
		
		หลังจากกรุงศรีอยุธยา เสียเอกราชแก่พม่า เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๑๐ 
		พม่าทำลายล้างผลาญโดยที่ต้องการจะมิให้ไทยตั้งตัวขึ้นอีก 
		ได้ริบทรัพย์จับเชลย เผาผลาญทำลายปราสาทราชมณเฑียร 
		วัดวาอารามตลอดจนบ้านเมืองของราษฎรครั้งนั้นพม่าได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยประมาณ 
		๓๑,๐๐๐ 
		คน กรุงศรีอยุธยาเกือบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากซากสลักหักพังสภาพเหมือนเมืองร้าง 
		อยุธยาเมืองหลวงของไทย 
		ซึ่งเคยรุ่งเรืองมาหลายร้อยปีมีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันมาถึง ๓๔ พระองค์ 
		ต้องมาเสียแก่พม่าก็เพราะการที่คนไทยแตกความสามัคคีกันเองแต่กรุงศรีอยุธยาก็ยังไม่สิ้นคนดี 
		คือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้พาสมัครพรรคพวกยกออกจากรุงศรีอยุธยา 
		ไปรวมกำลังอยู่ที่เมืองจันทบุรีมีอาณาเขตตลอดบริเวณหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออกต่อแดนกัมพูชา 
		จนถึงเมืองชลบุรี ซึ่งขณะนั้นหัวเมืองต่าง ๆ ที่มิได้ถูกกองทัพพม่าย่ำยี 
		มีกำลังคน กำลังอาวุธ ก็ถือโอกาสตั้งตัวเป็นอิสระ เป็นชุมชนต่าง ๆ ขึ้น 
		และหวังที่จะเป็นใหญ่ในเมืองไทยต่อไป 
		
		           
		
		ชุมนุมที่สำคัญมี ๕ ชุมนุม คือ 
		๑.
		
		ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก 
		(เรือง)
		
		อาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัยลงมาจนถึงเมือง 
		
		นครสวรรค์ 
		๒.
		
		ชุมนุมเจ้าพระฝาง 
		(เรือน)
		
		อาณาเขตตั้งแต่เมืองเหนือพิชัยถึงเมืองแพร่ เมืองน่านและ 
		
		
		เมืองหลวงพระบาง 
		๓.
		
		ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช 
		มีอาณาเขตตอนใต้ต่อแดนมลายูขึ้นมาถึงเมืองชุมพร 
		๔.
		
		ชุมนุมเจ้าพิมายหรือกรมหมื่นเทพพิพิธ 
		โอรสสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อกรุงศรี 
		
		
		อยุธยาเสียแก่พม่า พระพิมายเจ้าเมืองถือราชตระกูลและมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จึงยกกรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นเป็นใหญ่ 
		ณ  
		
		เมืองพิมาย 
		ชุมนุมนี้มีอาณาเขตบริเวณหัวเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือจดแดนลานช้าง 
		กัมพูชา ตลอดลงมาจนถึงสระบุรี 
		
		          
		
		ดูจากอาณาเขตของชุมนุมพิมายในสมัยนี้แล้ว 
		ครอบคลุมเมืองนครราชสีมาและเมืองชัยภูมิด้วย 
		เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เมืองต่าง ๆ 
		ที่อยู่ในอาณาบริเวณนี้ก็ตกอยู่ในอำนาจของกรมหมื่นเทพพิพิธแห่งชุมนุมพิมาย 
		๕.
		
		ชุมนุมพระยาตาก ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองจันทบุรี 
		มีอาณาเขตตั้งแต่แดนกรุงกัมพูชา 
		
		
		ลงมาจนถึงชลบุรี 
		
		          
		พ.ศ.
		
		๒๓๑๑ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ยกทัพมาปราบชุมนุมพิมายได้สำเร็จและให้ขึ้นต่อเมืองนครราชสีมาตามเดิมและในช่วง 
		๑๕ ปี ของสมัยธนบุรี ประวัติเมืองชัยภูมิไม่ได้กล่าวไว้เลย 
		แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเขตเมืองพิมายและเมืองนครราชสีมาก็รวมอยู่เขตเมืองชัยภูมิและการปกครองก็มีรูปแบบเหมือนสมัยอยุธยาตอนปลาย 
		เพราะฉะนั้นเมืองชัยภูมิก็ยังขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา 
		เช่นเดิมตลอดรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 
		
		 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 
		
		          
		
		เดิมท้องที่ชัยภูมิ มีผู้คนอาศัยมากพอควร 
		กระจัดกระจายอาศัยอยู่ตามแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ 
		อยู่ในความปกครองของเมืองนครราชสีมา 
		ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าในสมัยนี้ใครเป็นผู้นำหรือเป็นเจ้าเมืองชัยภูมิ 
		อาจจะเป็นเพราะในเขตนี้ผู้คนยังน้อย 
		ยังไม่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนจึงยังไม่สมควรที่จะแต่งตั้งใครมาปกครองเป็นทางการได้ 
		
		          
		ประมาณ 
		พ.ศ.
		
		๒๓๖๐ ได้มีขุนนางชาวเวียงจันทน์คนหนึ่งมีนามว่า อ้ายแล 
		(แล)
		
		
		ตามประวัติเดิมมีตำแหน่งเป็นพี่เลี้ยงราชบุตรเจ้าอนุเวียงจันทน์ 
		ได้ลาออกจากหน้าที่แล้วอพยพครอบครัวและไพร่พลชาวเมืองเวียงจันทน์ข้ามแม่น้ำโขง 
		เลือกหาภูมิลำเนาที่เหมาะเพื่อตั้งหลักแหล่งทำมาหากินขั้นแรกตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้าน 
		"น้ำขุ่นหนองอีจาน" 
		(ปัจจุบันอยู่ในท้องที่อำเภอสูงเนิน 
		จังหวัดนครราชสีมา) 
		
		
		ต่อมาได้อพยพมาอยู่ที่ 
		"โนนน้ำอ้อม" 
		(ทุกวันนี้ชาวบ้านเรียกบ้านชีลอง)
		
		โดยมีน้ำล้อมรอบจริง ๆ 
		โนนน้ำอ้อมอยู่ระหว่างบ้านขี้เหล็กใหญ่กับบ้านหนองนาแซงกับบ้านโนนกอกห่างจากศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ 
		ประมาณ ๖ กิโลเมตร และได้ตั้งหลักฐานมั่นคง เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๖๒ คงใช้ชื่อเมืองตามเดิม คือเรียกว่าเมืองชัยภูมิ 
		(เวลานั้นเขียนเป็นไชยภูมิ)
		
		นายแลได้นำพวกพ้องทนุบำรุงบ้านเมืองนั้นจนเจริญเป็นปึกแผ่น 
		เป็นชัยภูมิทำเลที่เหมาะแก่การทำมาหากิน ผู้คนในถิ่นต่าง ๆ 
		จึงพากันอพยพมาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ถึง ๑๓ หมู่บ้าน คือ 
		
		          
		๑.
		
		บ้านสามพัน          
		
		๒.
		
		บ้านบุ่งคล้า 
		
		          
		๓.
		
		บ้านกุดตุ้ม           
		
		๔.
		
		บ้านบ่อหลุบ 
		(ข้าง 
		ๆ บ้านโพนทอง) 
		
		          
		๕.
		
		บ้านบ่อแก            
		
		๖.
		
		บ้านนาเสียว 
		(บ้านเสี้ยว) 
		
		          
		๗.
		
		บ้านโนนโพธิ์                  
		
		๘.
		
		บ้านโพธิ์น้ำล้อม 
		
		          
		๙.
		
		บ้านโพธิ์หญ้า                  
		
		๑๐.บ้านหนองใหญ่ 
		
		          
		๑๑.บ้านหลุบโพธิ์                 
		
		๑๒.บ้านกุดไผ่ 
		(บ้านตลาดแร้ง)
		 
		
		          
		๑๓.บ้านโนนไพหญ้า 
		(บ้านร้างข้าง 
		ๆ บ้านเมืองน้อย) 
		
		          
		
		นายแลได้เก็บส่วยผ้าขาวจากชายฉกรรจ์ ประมาณ ๖๐ คน 
		ในหมู่บ้านเหล่านั้นไปบรรณาการแก่เจ้าอนุเวียงจันทน์ 
		เจ้าอนุเวียงจันทน์จึงได้ปูนบำเหน็จความชอบตั้งให้นายแลเป็นที่
		 
		
		"ขุนภักดีชุมพล"
		
		ซึ่งเป็นตำแหน่งระดับหัวหน้าคุมหมู่บ้านขึ้นกับเวียงจันทน์ 
		
		          
		ในปี พ.ศ.
		
		๒๓๖๕ ขุนภักดีชุมพล(แล)
		
		เห็นว่าบ้านโนนน้ำอ้อม 
		(ชีลอง)
		
		ไม่เหมาะเพราะบริเวณคับแคบและอดน้ำ 
		(น้ำสกปรก)
		
		
		จึงย้ายเมืองชัยภูมิมาตั้งที่แห่งหนึ่งระหว่างหนองปลาเฒ่ากับหนองหลอดต่อกัน 
		(ห่างจากศาลากลางจังหวัดเวลานี้ประมาณ 
		๒ กิโลเมตร)
		
		และให้ชื่อบ้านใหม่นี้ว่า
		 
		
		"บ้านหลวง" 
		
		          
		พ.ศ.
		
		๒๓๖๖ ที่บ้านหลวงนี้ได้มีคนอพยพมาตั้งถิ่นฐานหนาแน่นขึ้นอีก 
		มีชายฉกรรจ์ ๖๖๐ คนเศษ ขุนภักดีชุมพล 
		(แล)
		
		ไปพบบ่อทองคำที่บริเวณเชิงเขาภูขี้เถ้า 
		ที่ลำห้วยซาดเรียกว่า 
		"บ่อโขโล" 
		
		
		ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูเขาพญาฝ่อ 
		(พระยาพ่อ)
		
		อยู่ในท้องที่จังหวัดเพชรบูรณ์ 
		จึงได้เกณฑ์ชายฉกรรจ์ทั้งปวงไปช่วยเก็บหาทอง 
		มีครั้งหนึ่งที่ขุดร่อนทองอยู่ฝั่งแม่น้ำลำห้วยซาด ได้พบทองก้อนหนึ่งกลิ้งโข่โล่ 
		ทุกวันนี้เสียงเพี้ยนมาเป็นบ่อโขโหล หรือบ่อโขะโหละ 
		อยู่ในเขตอำเภอหนองบัวแดง 
		(ภาชนะที่นายแลและลูกน้องใช้ร่อนทองคำนั้นเป็นภาชนะไม้รูปคล้ายงอบจับทำสวน 
		ชาวบ้านเรียกว่า 
		"บ้าง"
		
		หาได้ง่ายในจังหวัดชัยภูมิ) 
		
		          
		
		นายแลได้นำทองก้อนโข่โล่นั้นไปถวายเจ้าอนุเวียงจันทน์ 
		ได้รับบำเหน็จความชอบคือได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองไชยภูมิ 
		
		          
		
		ในเวลานั้นเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองชัยภูมิเช่นเมืองสี่มุม 
		เมืองเกษตรสมบูรณ์ เมืองภูเขียว 
		ได้ขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมาและกรุงเทพมหานครหมดแล้ว 
		ด้วยเกรงพระบรมเดชานุภาพ 
		
		
		ขุนภักดีชุมพลจึงหันมาขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมาและส่งส่วยให้กรุงเทพฯ 
		แต่บัดนั้นมา 
		
		          
		พ.ศ.
		
		๒๓๖๙ 
		เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์เป็นขบถยึดเมืองนครราชสีมากวาดต้อนผู้คนไปเมือง 
		
		เวียงจันทน์ 
		เมื่อถึงทุ่งสัมฤทธิ์ 
		คุณหญิงโมภรรยาเจ้าเมืองนครราชสีมาได้คุมคนลุกขึ้นต่อสู้กับทหารของเจ้าอนุวงศ์ 
		นายแลเจ้าเมืองชัยภูมิพร้อมด้วยเจ้าเมืองใกล้เคียงได้ยกทัพออกไปสมทบกับคุณหญิงโมตีกระหนาบทัพเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์แตกพ่ายไป 
		
		          
		
		ฝ่ายทหารลาวที่ล่าถอยแตกพ่าย 
		มีความแค้นนายแลมากที่เอาใจออกห่างมาเข้ากับไทย 
		จึงยกพวกที่เหลือเข้าจับตัวนายแลที่เมืองชัยภูมิ เกลี้ยกล่อมให้เป็นพวกตน 
		แต่นายแลไม่ยอมจึงถูกจับฆ่าเสียที่ใต้ต้นมะขามใหญ่ริมหนองปลาเฒ่าซึ่งประชาชนได้สร้างศาลไว้เป็นที่สักการะจนปัจจุบัน 
		
		          
		
		เมื่อพระยาภักดีชุมพล 
		(แล)
		
		
		เจ้าเมืองชัยภูมิถึงแก่อนิจกรรมบ้านเมืองเกิดระส่ำระสายเพราะขาดหัวหน้าปกครอง 
		ประมาณปี พ.ศ.
		
		๒๓๗๕ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง 
		
		โปรดเกล้า ฯ 
		ให้นายเกต มาเป็นเจ้าเมืองชัยภูมิ 
		โดยตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระภักดีชุมพล นายเกตเดิมเป็นชาวอยุธยา 
		บ้านอยู่คลองสายบัวกรุงเก่า ตามประวัติเดิมว่าเป็นนักเทศน์ 
		เคยเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
		ได้พิจารณาเห็นว่าที่ตั้งเมืองชัยภูมิไม่เหมาะสม 
		จึงได้ย้ายเมืองจากที่ตั้งเดิมมาตั้งอยู่ที่ 
		"บ้านโนนปอปิด" 
		(คือบ้านหนองบัวเมืองเก่าปัจจุบัน)
		
		และได้เก็บส่วยทองคำส่งกรุงเทพฯ เป็นบรรณาการ พระภักดีชุมพล 
		(เกต)
		
		รับราชการสนองพระเดชพระคุณเรียบร้อยมาเป็นเวลา ๑๕ ปี 
		ก็ถึงแก่อนิจกรรม 
		
		          
		พ.ศ.
		
		๒๓๘๘ 
		พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตั้งให้หลวงปลัด 
		(เบี้ยว)
		
		รับราชการในตำแหน่งเจ้าเมืองได้ ๑๘ ปี ก็ถึงอนิจกรรม 
		ลำดับต่อมาเกิดข้าวยากหมากแพง ผู้คนเกิดระส่ำระสาย 
		อพยพแยกย้ายไปหากินในที่ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก 
		
		          
		เมื่อ 
		พ.ศ.
		
		๒๔๐๖ พระยากำแหงสงคราม 
		(เมฆ)
		
		
		ผู้ว่าราชการเมืองนครราชสีมาได้ส่งกรมการเมืองออกไปสอบสวนดูว่า 
		มีข้าราชการเมืองไชยภูมิคนใดบ้างที่มีเชื้อสายเจ้าเมืองเก่า 
		ก็ได้ความว่ามีอยู่ ๓ คน คือ 
		๑.
		
		หลวงวิเศษภักดี 
		(ทิ)
		
		บุตรพระยาภักดีชุมพล 
		(แล) 
		๒.
		
		หลวงยกบัตร 
		(บุญจันทร์)
		
		บุตรพระภักดีชุมพล 
		(เกต) 
		๓.
		
		หลวงขจรนพคุณบุตรพระภักดีชุมพล 
		(เบี้ยว) 
		
		พระยากำแหงสงคราม 
		(เมฆ)
		
		จึงได้หาตัวกรมการทั้งสามดังกล่าวนำเข้าเฝ้าพระบาท 
		
		
		สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
		เพื่อทรงพิจารณาหาตัวผู้เหมาะสมตำแหน่งเจ้าเมืองชัยภูมิ 
		
		          
		
		พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้หลวงวิเศษภักดี 
		(ทิ)
		
		เป็นพระภักดีชุมพลตำแหน่งเจ้าเมืองชัยภูมิ 
		หลวงยกบัตรเป็นหลวงปลัด หลวงขจรนพคุณเป็นหลวงยกบัตร 
		แล้วให้ป่าวร้องให้ราษฎรที่อพยพโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น กลับภูมิลำเนาเดิม 
		
		          
		ในสมัยพระภักดีชุมพล (ทิ) 
		เป็นเจ้าเมืองนั้นพิจารณาเห็นว่าบ้านหินตั้งมีทำเลกว้างขวางเป็นชัยภูมิดี 
		จึงย้ายตัวเมืองจากบ้านโนนปอปิด 
		มาตั้งเมืองใหม่ที่บ้านหินตั้งและมาอยู่จนทุกวันนี้ พระภักดีชุมพล (ทิ)
		รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยดีเป็นเวลา ๑๒ ปี 
		ก็ถึงแก่อนิจกรรม 
		
		          
		พ.ศ.
		
		๒๔๑๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ตั้งหลวงปลัด 
		(บุญจันทน์)
		
		บุตรพระภักดีชุมพล(เกต)
		
		เป็นพระภักดีชุมพล ตำแหน่งเจ้าเมืองไชยภูมิสืบต่อมา 
		ในระยะเวลานี้การส่งส่วยเงินยังค้างอยู่มาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ 
		ให้เก็บส่งลดลงกว่าเดิมเป็นคนละ ๔ บาท พระภักดีชุมพล 
		(บุญจันทร์)
		
		รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาด้วยความเรียบร้อย ๑๓ ปี 
		ก็ถึงแก่อนิจกรรม 
		
		          
		พ.ศ.
		
		๒๔๓๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้หลวงภักดีสุนทร 
		(เสง)
		
		บุตรหลวงขจรนพคุณเป็นพระภักดีชุมพล 
		ตำแหน่งเจ้าเมืองไชยภูมิสืบต่อมา และได้ออกจากราชการเพราะชราภาพ 
		รับเบี้ยหวัดปีละ ๑ ชั่ง 
		
		.การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบบมณฑลเทศาภิบาล 
		
		          
		ในปี พ.ศ.
		
		๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระหฤทัย 
		(บัว)
		
		มาดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองชัยภูมิ 
		ได้เปลี่ยนเขตเมืองชัยภูมิเสียใหม่ โดยยกท้องที่เมืองสี่มุม 
		(ปัจจุบันคืออำเภอจัตุรัส 
		เหตุที่เรียกเมืองสี่มุมเพราะเรียกตามชื่อสระสี่เหลี่ยม)
		
		เมืองบำเหน็จณรงค์ เมืองภูเขียว เมืองเกษตรสมบูรณ์ 
		ซึ่งเดิมขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมาให้ยุบเป็นอำเภอขึ้นต่อเมืองชัยภูมิ 
		เมื่อรวมทั้งอำเภอเมืองชัยภูมิด้วยเป็น ๕ อำเภอ พระหฤทัย 
		(บัว)
		
		จัดการบ้านเมืองอยู่ ๔ ปีเศษ 
		เมื่อราชการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้วโปรดเกล้า ฯ ให้กลับกรุงเทพฯ 
		
		          
		
		ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติระเบียบแบ่งเขตหัวเมืองต่าง ๆ 
		ใหม่เป็นมณฑลเป็นจังหวัดเมืองชัยภูมิเป็นจังหวัดหนึ่งอยู่ในเขตมณฑลนครราชสีมา 
		ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแบ่งเขตการปกครองแผ่นดิน 
		ให้ยุบมณฑลทั้งหมดเป็นจังหวัด 
		เมืองชัยภูมิเป็นจังหวัดหนึ่งซึ่งมีเจ้าเมืองหรือข้าหลวง หรือ 
		
		
		ผู้ว่าราชการรับผิดชอบในการบริหารแผ่นดินจนถึงปัจจุบันนี้ 
		
		 การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน 
		
		          
		
		การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมือง 
		เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น 
		ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
		
		๒๔๗๖ จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัด 
		อำเภอจังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน 
		มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
		นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว 
		ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลด้วย 
		เมื่อได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
		
		๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสีย 
		สาเหตุที่ยกเลิกก็เนื่องจากการคมนาคมสะดวกขึ้นการสื่อสารรวดเร็ว 
		เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน 
		และรัฐบาลมุ่งกระจายอำนาจไปสู่ส่วนภูมิภาคมากขึ้น 
		
		          
		
		ต่อมาในปี พ.ศ.
		
		๒๔๙๕ 
		รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง 
		ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัด 
		มีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมคือให้จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล 
		อำนาจบริหารในจังหวัดได้เปลี่ยนมาอยู่กับคน ๆ เดียว คือ 
		ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยมีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษา 
		
		          
		
		และได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 
		ตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.
		
		๒๕๑๕ โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค เป็น 
		
		          
		๑.
		
		จังหวัด 
		
		          
		๒.
		
		อำเภอ 
		
		          
		
		จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล 
		การตั้งยุบ 
		และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็นพระราชบัญญัติและให้มีคณะกรรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น 
		ๆ 
		
		 ที่มา
		:  
		
		ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดชัยภูมิ.
		
		กทม 
		: 
		
		ห้างหุ้นส่วนจำกัดมิตรเจริญการพิมพ์,
		
		๒๕๒๖. 
		
		   |