| 
       
		
		ประวัติศาสตร์จังหวัดจันทบุรี 
		
		 สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา 
		
		          
		
		ดินแดนอันเป็นที่ตั้งประเทศไทยปัจจุบันนี้ ในสมัยโน้นเรียกว่า 
		อาณาจักรสุวรรณภูมิ เป็นถิ่นเดิมของชาติลาวหรือละว้า 
		ยกเว้นดินแดนทางภาคใต้ซึ่งเป็นอาณาเขตของชาติมอญ 
		อาณาจักรสุวรรณภูมิแบ่งแยกอำนาจการปกครองออกเป็น ๓ อาณาเขต คือ 
		
		          
		๑.
		
		อาณาเขตทวาราวดี 
		มีเนื้อที่อยู่ในตอนกลางบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแผ่ออกไปจากชายทะเลตะวันตกของอ่าวไทยจนถึงชายทะเลตะวันออก 
		มีเมืองนครปฐมเป็นราชธานี 
		๒. 
		
		อาณาเขตยาง หรือ โยนก อยู่ตอนเหนือ 
		ตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองเงินยาง 
		๓. 
		
		อาณาเขตโคตรบูร ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้ง 
		ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มีเมืองนครพนมเป็นราชธานี 
		
		ชาวอินเดียผู้เจริญรุ่งเรืองด้วยความรู้ทางศาสนา ปรัชญา และสรรพศิลปวิทยาการได้อพยพเข้ามาในดินแดนเหล่านี้ 
		ปรากฏตามหลักฐานว่า 
		ชาวอินเดียได้พากันเข้าไปตั้งอาณานิคมอยู่ในดินแดนเขมรและมอญอีกด้วย 
		เขมรหรือขอมได้รับความรู้ถ่ายทอดมาจากอินเดีย 
		จึงปรากฏว่าขอมเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าชนชาติใดในสุวรรณภูมิราว พ.ศ.
		
		๑๕๐๐ ขอมได้ขยายอำนาจครอบครองอาณาเขตลาวไว้ได้ทั้งหมด 
		ขอมรุ่งโรจน์อยู่ประมาณสองศตวรรษ ไม่ช้าก็เสื่อมอำนาจลง 
		ในเวลานั้นชนชาติพม่าซึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในธิเบต 
		ได้รุกลงมาสู่ดินแดนลุ่มแม่น้ำอิรวดี และสถาปนาอาณาจักรขึ้น 
		มีกษัตริย์พม่าพระองค์หนึ่งพระนามว่า อโนระธามังช่อ 
		มีอานุภาพปราบลาวและมอญไว้ในอำนาจ เมื่อกษัตริย์พม่าองค์นี้สิ้นอำนาจลง 
		ขอมก็รุ่งโรจน์ขึ้นอีกวาระหนึ่ง แต่เป็นความรุ่งโรจน์เมื่อใกล้จะเสื่อม 
		พอดีชนชาติซึ่งรุกล้ำลงมาสู่ดินแดนนี้นับกาลนานมาได้สถาปนาอาณาจักรมีอานุภาพขึ้น 
		
		ในสมัยขอมรุ่งโรจน์ตอนบั้นปลายนั้น 
		ในดินแดนสุวรรณภูมินี้มีชื่อเมืองโบราณอยู่ ๓ ชื่อ มีลักษณะใกล้เคียงกันคือ 
		โคตรบูร เพชรบูรณ์ และจันทบูร 
		ซึ่งทั้งสามนี้ตามรูปศัพท์บอกว่าไม่ใช่ภาษาไทย 
		สมัยนั้นเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชาวอินเดียไม่ใช่ปฐมาจารย์แห่งสรรพวิทยาการของขอมมาก่อน 
		ที่ขอมเจริญรุ่งเรืองก็เพราะได้อาศัยชาวอินเดียเข้ามาเป็นครูสั่งสอนให้ 
		
		จากราชธานีนครธม ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางขึ้นไปทางภาคเหนือตามแม่น้ำโขง 
		ขอมได้ตั้งเมืองนครพนมขึ้นไว้เป็นด่านแรกจากนครธมตรงไปสู่ดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือ 
		ขอมได้ตั้งเมือง    
		
		พิมายขึ้นเป็นเมืองอุปราช และจากเมืองพิมายตรงขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 
		เมืองเพชรบูรณ์เป็นปากทางแรกสำหรับให้อารยธรรมและวัฒนธรรมของขอมเดิมเข้าสู่แคว้นโยนก 
		ในเขตทวาราวดีที่ตอนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา 
		ขอมได้สถาปนาเมืองลพบุรีขึ้นเป็นเมืองสำคัญคือ เป็นเมืองลูกหลวง อนึ่ง 
		จากราชธานีนครธม เมื่อตัดตรงลงมาสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ 
		เมืองด่านแรกที่ขอมตั้งขึ้นคือ เมืองจันทบุรี ต้นทางแพร่วัฒนธรรมและอารยธรรมขอมเข้าสู่ดินแดนชายทะเลและไปบรรจบกันที่เขตทวาราวดี 
		
		อาศัยเหตุนี้เมื่ออนุมานดู จากเหตุผลในประวัติศาสตร์ประกอบกับภูมิศาสตร์ 
		ก็น่าจะเชื่อว่า อาณาเขตจันทบูรหรือจันทบุรีในปัจจุบันนี้เป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นร่วมสมัยเดียวกันกับลพบุรี 
		พิมาย และเพชรบูรณ์ 
		แต่ขอมจะสร้างเมืองจันทบุรีนี้ขึ้นแต่ศักราชใดนั้นไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง 
		นอกจากจะสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยที่ขอมเริ่มแผ่อำนาจเข้าสู่เขตแดนลาวโดยอาศัยหลักโบราณคดีวินิจฉัยเปรียบเทียบดูศิลาแลงที่ใช้ก่อสร้าง 
		วิธีการสร้างเทวสถานแกะสลักซุ้มประตู ฝาผนัง และระเบียงเป็นรูปโพธิสัตว์ 
		เทวดา ประกอบทั้งลักษณะท่าทางของรูปสลักแล้ว 
		เห็นได้ว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับโบราณวัตถุที่ปราสาทหินโบราณที่พิมาย 
		นั่นหมายถึงว่า มีอายุก่อน ๑,๐๐๐ 
		ปีขึ้นไป 
		
		เศษจากศิลาแลงแผ่นใหญ่สลักลวดลายกนกต่าง ๆ 
		รูปเทวดาพระโพธิสัตว์ที่ยังเหลืออยู่ 
		เนินดินรอบถนนและซากแสดงภูมิฐานของที่ตั้งเมืองเหล่านี้ 
		
		ที่มีอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า 
		
		เมืองเก่าหน้าเขาสระบาป ในท้องที่ตำบลคลองนารายณ์ 
		อำเภอเมืองจันทบุรีนั้นทำให้สันนิษฐานได้ว่า 
		เมืองเก่าเป็นเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยขอมเป็นใหญ่ 
		แต่ก็ยังไม่สามารถจะชี้ชัดว่าบุคคลหรือกษัตริย์องค์ใดเป็นผู้สร้าง 
		ปัจจุบันนี้ยังมีซากกำแพงก่อด้วยศิลาแลง มีเชิงเทินเศษอิฐและหิน 
		ถนนปูด้วยศิลาแลง ปรากฏเป็นเค้าเมืองเดิมอยู่ 
		นอกจากนี้ยังมีศิลาแลงแผ่นใหญ่สลักเป็นลวดลายและกนกต่าง ๆ 
		มีรูปคนท่อนบนเปลือย ท่อนล่างถือชายผ้าพกใหญ่ 
		ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพแกะสลักและกนกซุ้มประตูหน้าต่างและธรณีประตูที่ปราสาทหินพิมาย 
		
		นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า 
		
		เมืองที่กล่าวนี้ 
		
		เป็นเมืองควนคราบุรี 
		
		ส่วนจันทบูรหรือจันทบุรี นั้น 
		น่าจะเป็นชื่อเสียงหรือชื่ออาณาเขตอย่างใดอย่างหนึ่ง 
		และควนคราบุรีก็น่าจะเป็นเมืองสำคัญในอาณาเขตจันทบูร เช่นเดียวกับที่เมืองพิมายเป็นเมืองสำคัญในอาณาเขตโคตรบูร 
		เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ร.ต.
		
		แชน 
		
		ปัจจุสานนท์ 
		ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจและได้ทำการค้นคว้าในเรื่องชื่อเมืองจันทบุรีมีความเห็นว่า 
		คำว่า "ควนคราบุรี"
		
		น่าจะเป็นคำเดียวกันกับ 
		"จันทบุรี"
		
		นั่นเอง แต่มีผู้เขียนหรือแปลผิดเพี้ยนไป อย่างไรก็ดี 
		เรื่องเกี่ยวกับชื่อเมืองนี้ยังหาข้อยุติมิได้ 
		
		นิโคลาส 
		
		เจอร์แวส 
		(Nicolas Gervais) 
		
		ผู้เขียนเรื่องเมืองไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์-มหาราช 
		ได้กล่าวถึงเมืองจันทบูร 
		(Chantaboun) 
		ว่า 
		"จันทบูนเป็นเมืองที่สวยงามที่สุด 
		โดยปราศจากการโต้แย้งใด ๆ 
		(ของหัวเมืองทางใต้)
		
		มีป้อมปราการเข็งแรงมาก เจ้าเมืองหาง 
		(Chaou Moeung Hang) 
		ผู้มีฉายาว่า 
		พระองค์ดำ 
		ซึ่งเป็นผู้สร้างพิษณุโลกได้เป็นผู้ก่อตั้งเมืองนี้บนฝั่งแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งมีชื่ออย่างเดียวกัน 
		จันทบูรเป็นเมืองชายแดนของเขมร อยู่ห่างจากฝั่งทะเลเป็นระยะทางวันหนึ่งเต็ม 
		ๆ 
		
		อนึ่ง มีกล่าวกันว่าไทยกับเขมรได้รบกันเมื่อ 
		(ค.ศ.
		
		๑๓๗๓-๑๓๙๓)
		
		เพื่อแย่งกันครอบครองเมืองจันทบูน ซึ่งบางทีก็เรียกว่า 
		เมืองจันทบุรี 
		(Chandraburi) 
		เมืองแห่งพระจันทร์ และอีกเมืองหนึ่งที่ชื่อว่า เมืองชลบุรี 
		(Choloburi) 
		หรือเมืองจุลบุรี 
		(Culapuri) 
		เมืองเล็ก" 
		
		
		ตัวเมืองจันทบุรีเดิมตั้งอยู่หน้าเขาสระบาปฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจันทบุรี 
		ในบริเวณใกล้เคียงกับวัดทองทั่ว ปัจจุบันนี้ยังมีซากตัวเมือง กำแพงเมือง 
		ก่อด้วยศิลาแลงและเชิงเทินปรากฏอยู่ให้เห็นเป็นเค้าอยู่บ้าง 
		และสิ่งที่ขุดค้นพบมีศิลาจารึกและศิลารูปซุ้มประตู 
		สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าที่ตรงนั้นเคยเป็นเมืองขอมมาแต่โบราณกาล 
		แต่นามเมืองเก่าจะได้ชื่อว่า "จันทบุรี"
		หรือ "จันทบูน"
		อย่างไรไม่ทราบชัด แต่ชาวบ้านยังพากันเรียกว่า "เมืองนางกาไว"
		ตามชื่อผู้ปกครองเมืองสมัยนั้น 
		ซึ่งมีเรื่องราวเป็นนิยายอันจะเชื่อถือเอาเป็นจริงจังไม่ได้ 
		และยังมีผู้ยืนยันต่อไปอีกว่าได้พบศิลาจารึกอันเป็นอักษรสันสกฤตที่ตำบลเขตสระบาป 
		มีเนื้อความว่า "เมืองจันทบุรีแต่เดิมชื่อ 
		เมืองควนคราบุรี ตั้งมาประมาณ ๑,๐๐๐ ปีแล้ว 
		พลเมืองเป็นชาติชอง เป็นที่น่าเชื่อว่าเมืองนี้เป็นเมืองขอมมาแต่โบราณ 
		ก็เพราะยังมีชื่อตำบลบ้านขอมปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ และในท้องที่อำเภอมะขาม 
		อำเภอโป่งน้ำร้อน ก็มีพลเมืองที่เป็นเชื้อชาติชองอยู่อีกมาก 
		มีผู้เข้าใจว่าชาติชองนี้น่าจะสืบสายมาจากขอมโบราณ  
		พวกชองในปัจจุบันตั้งภูมิลำเนาทำมาหากินอยู่ในป่าซึ่งอยู่ติดกับเขตแดนเมืองพระตะบอง 
		ประเทศกัมพูชาประชาธิปไตยมีภาษาพูดอย่างหนึ่งต่างหากจากภาษาไทยและภาษาเขมร 
		นักปราชญ์ในทางมนุษย์วิทยาได้จัดให้อยู่ในจำพวกตระกูลมอญ-เขมร 
		เช่นเดียวกันกับพวกขอมโบราณเหมือนกัน พวกชองชอบลูกปัดสีต่าง ๆ 
		และนิยมใช้ทองเหลืองเป็นเครื่องประดับเหมือนอย่างเช่นพวกกระเหรี่ยงที่อยู่ในเขตเมืองกาญจนบุรี 
		เข้าใจว่าเดิมทีเดียวชนจำพวกนี้คงจะตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ตามท้องที่ต่าง 
		ๆ ในเขตเมืองจันทบุรีเต็มไปหมด 
		เพิ่งจะถอยร่นเข้าป่าเข้าดงไปเมื่อพวกไทยมีอำนาจเข้าครอบครองเมืองจันทบุรีในสมัยกรุงศรีอยุธยา 
		
		 สมัยกรุงศรีอยุธยา 
		
		พวกขอมคงจะปกครองเมืองจันทบุรีอยู่ประมาณ ๔๐๐ ปี 
		จนกระทั่งเสื่อมอำนาจลงในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ 
		พวกไทยทางอาณาจักรฝ่ายใต้ซึ่งมีราชธานีอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิ 
		(เมืองอู่ทอง)
		
		จึงเข้ายึดเมืองจันทบุรีไว้ได้ 
		จันทบุรีจึงรวมอยู่ในอาณาจักรไทยทางฝ่ายใต้เรื่อยมา 
		มีหลักฐานที่ควรจะเชื่อได้ว่าเมืองนี้เคยเป็นเมืองขึ้นของไทยมาแล้วแต่ในสมัยอู่ทองก็คือ 
		เมื่อพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นใน พ.ศ.
		
		๑๘๙๓ ทรงประกาศว่า กรุงศรีอยุธยา มีประเทศราช ๑๖ หัวเมือง 
		มีเมืองจันทบุรีรวมอยู่ด้วยเมืองหนึ่ง 
		
		ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่า พระราเมศวร 
		เสด็จขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ได้เมื่อ พ.ศ.
		
		๑๙๒๗ แล้วกวาดต้อนเชลยชาวลานนาลงมาไว้ในเมืองต่าง ๆ 
		ทางปักษ์ใต้และชายทะเลตะวันออกหลายเมือง เช่น เมืองนครศรีธรรมราช สงขลา 
		พัทลุง และจันทบุรี 
		จึงน่าจะอนุมานได้ว่าพวกไทยเราคงจะออกมาตั้งถิ่นฐานบ้านช่องกันอยู่อย่างมากมายแล้ว 
		ตั้งแต่ในแผ่นดินพระราเมศวรเป็นต้น 
		ครั้นต่อมาชาวไทยที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในครั้งนั้นคงจะได้สมพงษ์กับชาวพื้นเมืองเดิม 
		เช่น พวกขอมและพวกชอง เป็นต้น 
		จึงทำให้สำเนียงและคำพูดบางคำตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีผิดแผกแตกต่างไปจากทางภาคกลางและภาคพายัพบ้าง 
		แต่แม้จะผิดแผกแตกต่างกันไปประการใดก็ตาม 
		ชาวเมืองจันทบุรีก็ยังคงใช้ภาษาไทยเป็นภาษาท้องถิ่นพูดกันอยู่โดยทั่วไปตลอดทั้งจังหวัด 
		ยกเว้นแต่คนหมู่น้อย เช่น พวกจีนและญวนซึ่งอพยพเข้ามาอยู่ใหม่ 
		ในชั้นหลังเท่านั้นที่ยังคงพูดภาษาของตนอยู่ 
		
		ต่อมาได้มีการย้ายตัวเมืองจากเมืองเดิมที่เขาสระบาป ตำบลคลองนารายณ์ 
		มาสร้างเมืองใหม่ที่บ้านลุ่มซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี 
		ซึ่งเข้าใจกันว่าจะย้ายมาตั้งแต่สมัยแผ่นดินพระบรมไตรโลกนาถ เป็นต้นมา 
		เพราะในรัชกาลนี้ทรงจัดระเบียบการปกครองใหม่คือ ทรงจัดตั้งตำแหน่งจตุสดมภ์ 
		มีเวียง วัง คลัง นา ขึ้น และทรงตั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีขึ้นอีก ๒ 
		ตำแหน่ง คือ ฝ่ายทหารตำแหน่งหนึ่งมีชื่อเรียกว่า สมุหกลาโหม และฝ่ายพลเรือนตำแหน่งหนึ่งมีชื่อเรียกว่า 
		สมุหนายก ส่วนนอกราชธานีออกไปก็จัดการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ 
		
		ลดหลั่นกันลงไปตามความสำคัญของเมืองนั้น ๆ 
		โดยทรงตั้งเป็นเมืองเอก โท ตรี และจัตวาขึ้นตามลำดับไป 
		จึงทำให้เข้าใจว่าเมืองจันทบุรีน่าจะย้ายมาตั้งที่ตรงบ้านลุ่มในสมัยนี้ด้วย 
		เพราะเมืองเดิมที่เขาสระบาปนั้นมีภูเขากระหนาบอยู่ข้างหนึ่ง 
		คงไม่มีทางที่จะขยายให้ใหญ่โตออกไปกว่าเดิมได้ 
		เหตุผลที่ต้องย้ายเมืองมาตั้งใหม่ 
		ก็คงเนื่องมาจากเมืองเก่าอยู่ห่างไกลลำน้ำมาก 
		การคมนาคมไม่สะดวกแก่พลเมืองในการไปมาค้าขาย 
		เมื่อสร้างเมืองใหม่ได้มีการขุดดินถมเป็นเชิงเทินมีร่องคูรอบเมือง 
		ภายในเมืองได้สร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมือง 
		
		วัดวาอาราม 
		
		แต่บัดนี้ได้ปรักหักพังจนแทบไม่มีอะไรเหลือ 
		
		
		ต่อมาภายหลังทางราชการได้จัดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพบ้านเมืองมาหลายครั้งหลายคราว 
		จึงทำให้รูปร่างของเมืองเดิมลางเลือนไปจนไม่มีอะไรจะเป็นที่สังเกตได้ 
		
		การสร้างเมืองใหม่ที่บ้านลุ่มนี้ 
		คงทำเป็นเมืองป้อมเหมือนอย่างเมืองโบราณทั้งหลายคือ 
		มีคูและเชิงเทินดินรอบเมืองทำรูปเป็นสี่เหลี่ยม กว้างยาวประมาณด้านละ ๖๐๐ 
		เมตร ยังมีแนวกำแพงเหลืออยู่ทางหลังกองพันนาวิกโยธินประมาณสัก ๑๐๐ เมตร 
		นอกนั้นถูกรื้อไปหมดแล้ว 
		เมืองจันทบุรีตั้งอยู่ที่ตำบลนี้ตลอดมาจนสิ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยจราจล 
		เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีทรงยกพลออกจากเมืองระยองมาตีเมืองจันทบุรี 
		ก็มาตีเมืองซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านลุ่มนี้ด้วย 
		
		ประวัติของเมืองจันทบุรีในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น 
		ไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกสงครามมากเท่าใดนัก 
		อาจจะกล่าวได้โดยเต็มปากว่า จันทบุรี เป็นเมืองที่สงบสุขเรื่อยมา ทั้งนี้ 
		เพระเหตุว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา 
		ไทยเราทำสงครามติดพันกันกับพม่าซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกันแต่เฉพาะทางภาคพายัพและภาคตะวันตกเท่านั้น 
		เมืองที่ตั้งอยู่ทั้งสองภาคนี้จึงมีประวัติการสงครามกับพม่าตลอดมาจนถึงตอนต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 
		ส่วนเมืองจันทบุรีนั้นอยู่ทางชายทะเลตะวันออก 
		อาณาเขตไม่ติดต่อกันกับประเทศพม่าจึงไม่ปรากฏว่าพม่ายกกองทัพเข้ามาตีเมืองนี้เลย 
		แม้ในสมัยที่เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าในครั้งหลัง 
		พม่าก็ไม่ได้ยกกำลังทหารเข้ามาย่ำยีเมืองจันทบุรีแต่อย่างใด 
		คงปล่อยให้เมืองจันทบุรีและเมืองชายทะเลตะวันออกอีกหลายเมืองเป็นอิสระ 
		ซึ่งเป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีมีโอกาสมาตั้งตัวและรวบรวมรี้พลอยู่ในบริเวณเมืองเหล่านี้ 
		แล้วต่อมาได้ขับไล่พม่าที่ยึดครองประเทศไทยอยู่ ณ 
		ตำบลโพธิ์สามต้นแตกกระจัดกระจายพ่ายแพ้ไป 
		นับว่าเป็นบุญญาภินิหารของชาติไทยอย่างหนึ่งที่ดลบันดาลให้พม่าไม่ยกกองทัพมาย่ำยีหัวเมืองเหล่านี้ 
		เพราะถ้าหากว่าหัวเมืองทางชายทะเลตะวันออกถูกย่ำยีหมดแล้ว 
		
		กำลังรี้พลตลอดจนสะเบียงอาหารคงจะหาได้ยากอย่างยิ่ง 
		
		และสมเด็จพระเจ้าตากสิน-กรุงธนบุรีก็จะต้องเสียเวลารวบรวมรี้พลตลอดจนสะเบียงอาหารเป็นเวลาไม่น้อยทีเดียว 
		คือกว่าจะรวบรวมกำลังพอจะยกไปขับไล่พม่าซึ่งยึดครองกรุงศรีอยุธยาอยู่ได้ 
		ก็จะต้องใช้เวลาหลายปี ไม่ใช่ ๕ หรือ ๖ เดือน อย่างที่ได้กระทำมาแล้ว 
		
		เนื่องจากจันทบุรีมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย 
		เพราะฉะนั้นจึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศกัมพูชาประชาธิปไตยบ้างแต่ก็ไม่มากนัก 
		และไม่เคยปรากฏว่าได้รบกันที่เมืองจันทบุรีนี้เลยสักครั้งเดียว 
		
		
		เพราะประเทศกัมพูชาประชาธิปไตยในเวลานั้นมีกำลังไม่มากเหมือนประเทศพม่าจึงไม่สามารถจะยกกองทัพบกใหญ่เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาได้ 
		คอยฉวยโอกาสแต่เมื่อเวลาที่ไทยหย่อนกำลังลงแล้ว 
		จึงยกกองทัพเข้ามากวาดต้อนผู้คน ทางหัวเมืองชายแดนไป 
		ไม่เคยได้รบกันเป็นศึกใหญ่ในเขตประเทศไทยสักครั้งเดียว เช่น 
		ในรัชกาลสมเด็จพระราเมศวร 
		พระเจ้ากรุงกัมพูชาก็ยกกองทัพมากวาดต้อนผู้คนในเมืองชลบุรีและเมืองจันทบุรีไปประมาณ 
		๖-๗ 
		พันคน สมเด็จพระราเมศวรจึงทรงยกกองทัพไปตีกรุงกัมพูชา 
		และได้รบพุ่งกันชั่วระยะเวลาเพียง ๓ วันเท่านั้น กรุงกัมพูชาก็แตก 
		สมเด็จพระราเมศวรจึงโปรดให้รับครอบครัวไทยซึ่งถูกพวกเขมรกวาดต้อนไปกลับคืนมาไว้ยังภูมิลำเนาเดิม 
		
		ในแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญที่ ๑ 
		(พระมหาธรรมราชา)
		
		ก็อีกครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นเป็นสมัยที่ไทยกำลังบอบช้ำมาก 
		เพราะแพ้สงครามพม่ามาใหม่ ๆ 
		เพิ่งจะสร้างตัวขึ้นยังไม่มีกำลังเข้มแข็งเท่าใดนัก 
		พระยาละแวกจึงฉวยโอกาสยกกองทัพเข้ามากวาดต้อนชาวไทยซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ตามหัวเมืองชายทะเลตะวันออกรวมทั้งเมืองจันทบุรีไปไว้ 
		ณ กรุงกัมพูชา เป็นจำนวนไม่น้อย 
		และยังยกกองทัพเข้ามาย่ำยีประเทศไทยอีกหลายครั้ง 
		เป็นเหตุให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพิโรธ 
		จึงทรงยกกองทัพไปตีกรุงกัมพูชาแตกแล้วทรงจับพระยาละแวกสำเร็จโทษเสีย 
		
		นับแต่นั้นชาวเมืองจันทบุรีก็อยู่กันอย่างสงบสุขตลอดมา 
		จนกระทั่งถึงปลายสมัยกรุงศรี-อยุธยา 
		ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ 
		(พระเจ้าบรมโกศ)
		
		
		ปรากฏว่ามีเรื่องยุ่งยากในการสืบราชสมบัติเนื่องจากพระเจ้าลูกเธอไม่ทรงสามัคคีปรองดองกัน 
		ทั้งนี้เพราะพระมหาอุปราชสิ้นพระ-ชนม์เสียก่อน 
		พระราชโอรสองค์กลางคือ เจ้าฟ้าเอกทัศ ซึ่งทรงกรมเป็น 
		กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้น เป็นผู้โฉดเขลา เบาปัญญา และไม่มีความอุตสาหพยายาม 
		พระเจ้าบรมโกศทรงเห็นว่า ถ้าจะให้ครอบครองแผ่นดินบ้านเมืองจะเกิดภัยพิบัติ 
		
		จึงรับสั่งให้เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีไปผนวชเสีย 
		
		แล้วทรงตั้งเจ้า-ฟ้ากรมขุนพรพินิต 
		พระราชโอรสองค์เล็กเป็นพระมหาอุปราช เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๐๐ 
		
		แม้จะทรงแต่งตั้งพระมหาอุปราชไว้ตามโบราณราชประเพณีแล้วก็ตาม 
		แต่สมเด็จพระเจ้า-บรมโกศก็มิได้ทรงคลายความห่วงใยต่อราชบัลลังก์ 
		ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงเห็นว่าพระราชโอรสมิได้ทรงสมัครสมานสามัคคีกัน 
		
		
		เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาที่พระองค์ใกล้จะเสด็จสวรรคตจึงโปรดให้พระเจ้าลูก-เธออันเกิดแต่พระสนมทั้งสี่พระองค์ 
		คือ กรมหมื่นเทพพิพิธ กรมหมื่นจิตสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ 
		และกรมหมื่นเสพย์ภักดี เข้าไปเฝ้าถึงข้างที่พระบรรทม 
		ทรงโปรดให้พระเจ้าลูกเธอทั้งสี่พระองค์นี้กระทำสัตย์ถวายต่อหน้าพระที่นั่งว่าจะทรงสามัคคีปรองดองกันกับพระมหาอุปราช 
		ด้วยความกลัวพระราชอาญา พระเจ้าลูกเธอทั้งสี่พระองค์จึงจำพระทัยกระทำสัตย์ถวาย 
		
		แต่ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศสวรรคตแล้ว 
		พระเจ้าลูกเธอเหล่านั้นก็มิได้กระทำตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ 
		ยังทรงถือทิฐิมานะอยู่ 
		พอพระมหาอุปราชเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติได้สักหน่อย กรมหมื่นจิตสุนทร 
		กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพย์ภักดี 
		ซึ่งเป็นอริกับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่อยู่แต่เดิมแล้ว 
		ก็ทรงคบคิดกันจะช่วงชิงราชบัลลังก์แต่ปรากฏว่าไม่ค่อยมีข้าราชการสนับสนุนจึงไม่ทรงสามารถช่วงชิงราชสมบัติได้สำเร็จ 
		ในที่สุดก็ถูกจับและถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ 
		
		ส่วนกรมหมื่นเทพพิพิธนั้น 
		ทรงสนับสนุนพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่อยู่แต่เดิมแล้วจึงไม่ปรากฏว่าได้ทรงร่วมมือกับพระเจ้าน้องยาเธอทั้งสามพระองค์นั้น 
		แต่กรมหมื่นเทพพิพิธเป็นอริกันกับกรมขุนอนุรักษ์มนตรี ฉะนั้น 
		เมื่อกรมขุนพรพินิตถวายราชสมบัติแก่กรมขุนอนุรักษ์มนตรีซึ่งเป็นพระ-เชษฐาแล้ว 
		
		
		กรมหมื่นเทพพิพิธก็คิดจะชิงราชสมบัติจากพระเจ้าเอกทัศมาถวายกรมขุนพรพินิต 
		
		
		แต่กรมขุนพรพินิตนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าเอกทัศให้ทรงทราบเสียก่อน 
		กรมหมื่นเทพพิพิธจึงถูกเนรเทศไปอยู่เกาะลังกา 
		
		กรมหมื่นเทพพิพิธต้องจำพระทัยประทับอยู่ ณ เกาะลังกา เป็นเวลา ๒ ปีเศษ 
		จนกระทั่งถึง พ.ศ.
		
		๒๓๐๓ พระเจ้าอลองพญา 
		กษัตริย์พม่ายกกองทัพมาประชิดพระนครมีข่าวลือออกไปยังเกาะลังกาว่า 
		พระนครศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว พระองค์จึงลอบเสด็จเข้ามายังเมืองมะริด 
		โดยหวังพระทัยจะทรงช่วยกู้อิสรภาพต่อไป แต่การหาได้เป็นดังข่าวลือไม่ 
		เผอิญพระเจ้าอลองพญาทรงประชวรหนักเนื่องจากปืนใหญ่ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาการยิงด้วยพระองค์เองได้เกิดระเบิดขึ้น 
		สะเก็ดระเบิดกระเด็นมาต้องพระองค์ถึงบาดเจ็บสาหัส 
		จึงรีบเสด็จยกกองทัพกลับคืนไปทางเหนือและไปสิ้นพระชนม์ลงกลางทาง 
		กรมหมื่นเทพพิพิธจึงต้องถูกคุมตัวอยู่ที่เมืองมะริดนั้นเอง 
		
		ครั้นเมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๐๗ พม่ายกกองทัพมาตีเมืองมะริดแตก 
		กรมหมื่นเทพพิพิธจึงหนีเข้ามาในเขตแดนไทยเรื่อยเข้ามาจนถึงเมืองเพชรบุรี 
		เมื่อพระเจ้าเอกทัศทรงทราบจึงมีรับสั่งให้คุมตัวไปไว้ที่เมืองจันทบุรี 
		
		เนื่องด้วยกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นเจ้านาย 
		
		และมิได้ทรงกระทำผิดคิดร้ายประการใด 
		
		ประชาชนยังคงเคารพนับถือพระองค์อยู่มาก 
		โดยเฉพาะชาวเมืองจันทบุรีก็ได้ช่วยเหลือพระองค์เป็นอย่างมากเหมือนกัน คือ 
		ปรากฏว่าใน พ.ศ.
		
		๒๓๑๐ เมื่อคราวจะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า 
		
		กรมหมื่น-เทพพิพิธทรงได้กำลังชายฉกรรจ์จากเมืองจันทบุรีจนสามารถจัดเป็นกองทัพน้อย 
		ๆ ยกออกไปเพื่อจะช่วยตีกองทัพพม่าซึ่งกำลังล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ 
		เมื่อเสด็จผ่านหัวเมืองรายทางเข้ามาประชาชนพลเมืองในเขตเมืองเหล่านั้นก็พากันอาสาสมัครเข้าในกองทัพเป็นจำนวนมาก 
		กรมหมื่นเทพพิพิธได้เสด็จเข้ามาจนกระทั่งถึงเมืองปราจีนบุรี 
		และโปรดให้นายทองอยู่น้อยเป็นแม่ทัพหน้ายกพลไปตั้งมั่นอยู่ ณ ปากน้ำโยทะกา 
		
		กิตติศัพท์ที่กรมหมื่นเทพพิพิธยกพลเข้ามานี้ได้พัดกระพือไปถึงกองทัพพม่าซึ่งตั้งล้อม 
		กรุงศรีอยุธยาอยู่ 
		พม่าจึงจัดส่งทหารเข้าตีโต้กองทัพไทยซึ่งตั้งมั่นอยู่ที่ปากน้ำโยทะกาแตกกระจัดกระจายไป 
		ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธเมื่อทรงทราบข่าวว่ากองทัพหน้าแตกก็เสด็จหนีไปอยู่เมืองนครราชสีมา 
		
		 สมัยกรุงธนบุรี 
		
		หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชแก่พม่าข้าศึก เมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๑๐ พม่าตั้งใจจะมิให้ไทยตั้งตัวได้อีก 
		จึงเผาผลาญทำลายปราสาทราชมณเฑียร วัดวาอาราม 
		ตลอดจนบ้านเรือนของราษฎรแล้วได้เก็บทรัพย์สมบัติของมีค่า 
		ทั้งกวาดต้อนชาวไทยไปเกือบหมดสิ้นกรุงศรีอยุธยาไม่เหลืออะไรอยู่เลย 
		นอกจากซากอิฐปูนปรักหักพังสภาพเหมือนเมืองร้าง 
		อยุธยาเมืองหลวงของไทยอันรุ่งเรืองมาแล้วหลายร้อยปี 
		มีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันมาถึง ๓๔ องค์ 
		ต้องมาเสียแก่พม่าก็เพราะการที่คนไทยแตกความสามัคคีกันเอง 
		พระเจ้าแผ่นดินก็อ่อนแอ แต่กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี ต่อจากเหตุการณ์อันน่าเอน็จอนาถของเมืองไทยไม่นานนัก 
		
		เมืองจันทบุรีก็ได้ต้อนรับมหาวีรบุรุษของไทยอีกองค์หนึ่ง 
		
		คือ  
		
		สมเด็จพระเจ้า-ตากสินมหาราช 
		ซึ่งได้เสด็จมาตั้งรวบรวมกำลังพลทแกล้วทหารหาญเพื่อกอบกู้เอกราชของไทยให้กลับคืนมาจากอำนาจพม่าข้าศึก 
		ราชกิจซึ่งพระองค์ทรงบำเพ็ญเป็นองค์คุณธรรม 
		ประกอบด้วยเกียรติยศแก่ประเทศชาติไทยเป็นอเนกประการ 
		
		สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 
		
		หรือเรียกอีกพระนามหนึ่งว่า 
		
		สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุง-ธนบุรี 
		เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็น พระยาวิเชียรปราการ 
		ทรงเห็นว่าพระนครศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่าเพราะความอ่อนแอของผู้บังคับบัญชาและเพราะการแตกความสามัคคีกันเป็นแน่แท้ 
		ดังนั้น เมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้นสี่ค่ำ ปีจอ พ.ศ.
		
		๒๓๐๙ ขณะพม่าตั้งล้อมประชิดเข้ามาจวนถึงคูพระนคร 
		พระยาวิเชียร-ปราการจึงรวบรวมพลได้ประมาณ 
		๕๐๐ คน ตีฝ่าหนีออกไปทางทิศตะวันออก 
		พม่าออกติดตามตีกระชั้นชิดแต่ก็พ่ายแพ้ทุกคราวไป 
		จนกระทั่งบรรลุถึงเมืองระยอง พระยาระยอง ชื่อ บุญ 
		ได้พาสมัครพรรคพวกออกมาอ่อนน้อม 
		สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ยกกองทัพเข้าไปตั้งมั่นอยู่ที่วัดลุ่ม 
		นอกบริเวณค่ายเก่าซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองระยอง 
		ขณะนั้นกรุงศรีอยุธยายังไม่เสียแก่พม่า มีพวกกรมการเมืองเก่าหลายคน คือ 
		หลวงพล ขุนจ่าเมือง ขุนราม หมื่นซ่อง 
		บังอาจขัดขืนคบคิดกันต่อสู้พระองค์แล้วรวบรวมกำลังกันประทุษร้ายเข้าปล้นค่าย 
		แต่กลับพ่ายแพ้ต่อพระองค์ จึงทรงชิงเอาเมืองระยองได้เป็นสิทธิ 
		และประกาศพระองค์เป็นอิสรภาพมีอำนาจในอาณาเขตเมืองระยอง 
		
		ครั้งนั้น 
		ทรงเห็นว่าเมืองจันทบุรีเป็นหัวเมืองใหญ่และยังมีเจ้าเมืองปกครองเป็นปกติอยู่ 
		แต่ก็ไม่ทรงทราบว่าเมืองจันทบุรีจะคิดร่วมมือกอบกู้เอกราชของประเทศให้พ้นจากอำนาจพม่าข้าศึกด้วยหรือไม่ 
		ขณะที่ประทับอยู่ ณ เมืองระยอง จึงทรงแต่งตั้งให้ทูตถือศุภอักษรไปถึงพระยาจันทบุรี 
		ขอให้พระยาจันทบุรีร่วมมือช่วยกันปราบปรามพม่าข้าศึกให้กรุงศรีอยุธยาเป็นที่ผาสุกเหมือนดังก่อน 
		พระยา-จันทบุรีได้ทราบความและรับว่าจะลงมาปรึกษาด้วยตนเองที่เมืองระยอง 
		แต่พระยาจันทบุรีหาได้ปฏิบัติตามไม่ 
		
		ขณะนั้น นายเรือง มหาดเล็ก ผู้รั้งเมืองบางละมุง ถือหนังสือของเนเมียวสีหบดีแม่ทัพใหญ่พม่า 
		มีข้อความเป็นเชิงบังคับให้พระยาจันทบุรีตัดสินใจเลือกว่าจะเข้าด้วยกับพม่าหรือกับพวกไทยด้วยกัน 
		พระองค์ทรงทราบความตลอด จึงทรงแต่งทูตให้ถือศุภอักษรไปถึงพระยาราชาเศรษฐีญวนเจ้าเมืองบันท้ายมาศ 
		ให้ยกกองทัพขึ้นมาสมทบช่วยกันกู้กรุงศรีอยุธยาให้พ้นมือข้าศึก 
		และก็ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะทำให้พระยาจันทบุรีเกรงกลัว 
		พร้อมกันนั้นพระองค์จึงทรงสั่งให้ผู้รั้งเมืองบางละมุงลงไปชี้แจงแก่พระยาจันทบุรี 
		แล้วให้ทูตที่จะลงไปเมืองบันท้ายมาศรับผู้รั้งเมืองบางละมุงเพื่อไปส่งที่เมืองจันทบุรี 
		
		พระยาราชาเศรษฐีญวน รับรองเป็นทางไมตรีว่า 
		สิ้นฤดูมรสุมแล้วจะยกกองทัพขึ้นมาช่วย 
		
		ครั้นเดือน ๕ ปีกุน พ.ศ.
		
		๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า 
		พระยาจันทบุรีไม่รับเป็นไมตรี ส่วนขุนราม หมื่นซ่อง 
		ซึ่งเคยปล้นค่ายที่เมืองระยองแล้วแตกหนีไปตั้งซ่องสุมผู้คนอยู่ในเขตเมืองแกลงก็คุมพลออกประทุษร้ายต่อพระองค์เป็นเนืองนิจ 
		สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงดำริว่าหมดลู่ทางที่จะทำอย่างอื่นได้ 
		นอกจากจะใช้กำลังปราบปรามจึงจะตั้งตัวอยู่ได้ จึงยกกองทัพลงไปตีขุนราม 
		หมื่นซ่อง ซึ่งสู้ไม่ได้ก็พ่ายแพ้หนีลงไปอยู่กับพระยาจันทบุรี 
		
		ขณะนั้นพระยาจันทบุรีได้กำลังขุนราม หมื่นซ่อง 
		ช่วยกันคิดเป็นกลอุบายจะล่อเอาพระองค์เข้าไปไว้ในเมืองแล้วคิดกำจัดเสีย 
		จึงนิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูป ให้เป็นทูตมาเชิญพระองค์ลงไปยังเมืองจันทบุรี 
		เป็นทำนองปรึกษาตระเตรียมกองทัพจะเข้าไปรบพุ่งพม่า 
		สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทราบก็ทรงพอพระทัย 
		จึงให้พระสงฆ์ทูตนำทางยกลงไปเมืองจันทบุรี เมื่อพระองค์ยกไปถึงบางกะจะ 
		ระยะทางห่างจากเมืองประมาณ ๘ กิโลเมตร 
		พระยาจันทบุรีให้หลวงปลัดลงมารับเพื่อนำพระองค์เข้าไปพัก 
		
		ณ 
		
		ทำเนียบ 
		
		ซึ่งได้จัดรับรองไว้ที่ริมแม่น้ำ 
		
		ขณะที่ยกกองทัพไปพระองค์ได้ทราบเป็นรหัสว่า  
		
		พระยาจันทบุรีกับขุนราม หมื่นซ่อง 
		ได้เรียกระดมพลขึ้นประจำหน้าที่ 
		พระองค์จึงตรัสให้กองทัพเลี้ยวขบวนไปทางเหนือตรงเข้าไปตั้งที่วัดแก้วห่างจากประตูเมืองท่าช้างประมาณ 
		๒๐๐ เมตร พระยาจันทบุรีตกใจรีบให้ไพร่พลขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทิน 
		แล้วให้ขุนพรหมธิบาล 
		ซึ่งเป็นพระยาท้ายน้ำออกไปเจรจาเพื่อเชิญเสด็จเข้าไปพบปะกับพระยาจันทบุรี 
		พระองค์ขอให้พระยาจันทบุรีส่งตัวขุนรามกับหมื่นซ่องออกมาทำสัตย์สาบานเพื่อให้เห็นน้ำใจสุจริตต่อกันเสียก่อน 
		
		เมื่อขุนพรหมธิบาลกลับเข้าไปแล้ว     
		
		พระยาจันทบุรีก็นิ่งเฉยอยู่ 
		พระองค์ทรงประจักษ์แน่ว่าพระยาจันทบุรีมิได้ตั้งอยู่ในไมตรีสัตย์สุจริต 
		จึงตรัสให้พระยาจันทบุรีรักษาเมืองไว้ 
		
		สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตกอยู่ในที่คับขัน 
		เพราะเข้าไปตั้งอยู่ในชานเมืองข้าศึกแล้วประกอบทั้งพระองค์ทรงเป็นนักรบ 
		ทรงแลเห็นทันทีว่าต้องรีบชิงทำศึกก่อน 
		จึงทรงเรียกบรรดานายทัพนายกองทั้งปวงมาประชุมว่า 
		พระองค์จะตีเอาเมืองจันทบุรีในเพลาค่ำให้จงได้ 
		เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้วก็ให้ต่อยหม้อข้าวเสียให้หมด 
		และให้ไปกินข้าวเช้าเอาในเมือง หากตีเมืองไม่ได้ก็ให้ตายเสียด้วยกันให้หมด 
		
		ครั้นได้ฤกษ์เวลาสามยาม สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงช้างพังคีรีบัญชร 
		ทรงให้อาณัติสัญญาณเข้าตีเมืองพร้อมกัน 
		ชาวเมืองระดมยิงปืนใหญ่น้อยลงมาเป็นอันมาก 
		นายท้ายช้างพระที่นั่งเกรงว่าพระองค์จะได้รับอันตรายจึงเกี่ยวช้างพระที่นั่งถอยออกมา 
		พระองค์ขัดพระทัยเงื้อพระแสงหันมาจะฟัน 
		นายท้ายช้างทูลขอชีวิตแล้วไสช้างกลับเข้าชนประตูเมืองพังลงทหารก็ตรูกันเข้าเมืองได้เมื่อวันอาทิตย์ 
		เดือน ๗ ปีกุน พ.ศ.
		
		๒๓๑๐ 
		พระองค์ได้ทรงทำนุบำรุงเมืองให้เป็นปกติเรียบร้อยแล้วตรัสสั่งให้ต่อเรือรบได้ประมาณ 
		๒๐๐ ลำ เตรียมการเข้ามาทำสงครามกู้กรุงศรีอยุธยาต่อไป 
		นับว่าเมืองจันทบุรีเป็นเมืองสำคัญ 
		เคยเป็นที่ตั้งมั่นของวีรกษัตริย์มหาราชเจ้าพระองค์หนึ่งของไทยมาก่อน 
		
		
		สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 
		
		ครั้นต่อมาถึงแผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ 
		แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 
		ประเทศไทยเกิดพิพาทกับประเทศญวนถึงกับทำสงครามกันด้วยเรื่องเจ้าอนุ 
		การสงครามระหว่างญวนกับไทยในครั้งนั้นใช้กองทัพบกและกองทัพเรือ 
		เมืองจันทบุรีเป็นเมืองชายทะเลทางทิศตะวันออกอยู่ใกล้ชิดกับญวนมาก 
		สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่าญวนจะมายึดเอาเมืองจันทบุรีเป็นที่มั่นเพื่อทำการต่อสู้กับไทย 
		และตัวเมืองจันทบุรีตั้งมาแต่สมัยโน้นก็อยู่ในที่ลุ่ม 
		ไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นฐานทัพต่อสู้กับญวน ฉะนั้น จึงได้โปรดเกล้าฯ 
		ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ 
		(ดิศ 
		
		บุนนาค)
		
		เป็นแม่กองออกมาสร้างป้อมค่ายและเมืองขึ้นใหม่ที่บ้านเนินวง 
		ตำบลบางกะจะ ตำบลที่จะสร้างเมืองใหม่นี้ตั้งอยู่ในที่สูงเป็นชัยภูมิดี 
		เหมาะแก่การสร้างฐานทัพต่อสู้ข้าศึก ลักษณะของเมืองที่สร้างมีกำแพง ป้อม คู 
		ประตู ๔ ทิศ เป็นรูปสี่เหลี่ยม กว้างประมาณ ๑๔ เส้น ยาว ๑๕ เส้น 
		มีปืนจุกอยู่ตามช่องใบเสมา สร้างเมื่อ พ.ศ.
		
		๒๓๗๗ ใช้เวลาแรมปีและกำลังคนมากมายจนแล้วเสร็จ 
		ภายในเมืองได้สร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมือง คลังเก็บอาวุธ และวัดซึ่งมีชื่อว่า
		วัดโยธานิมิต
		
		เมืองที่สร้างใหม่ยังคงปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ 
		พร้อมกับการสร้างเมืองใหม่นั้น 
		
		ยังได้โปรดเกล้าฯ 
		
		ให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ 
		
		เป็นแม่กองสร้างป้อมที่หัวหาดปากน้ำแหลมสิงห์ป้อมหนึ่ง 
		และให้พระยาอภัยพิพิธ เป็นแม่กองสร้างไว้บนเขาแหลมสิงห์อีกป้อมหนึ่ง 
		เดิมป้อมทั้งสองยังไม่มีชื่อ 
		ต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังมิได้   
		
		เสวยราชย์ได้เสด็จประพาสเมืองจันทบุรี 
		
		จึงได้พระราชทานนามป้อมที่อยู่บนเขาแหลมสิงห์ว่า      
		ป้อมไพรีพินาศ  
		
		และป้อมที่อยู่หัวหาดแหลมสิงห์ว่า 
		ป้อมพิฆาตปัจจามิตร 
		(หนังสือของหลวง-สาครคชเขต 
		
		ว่าชื่อ  
		ป้อมพิฆาตข้าศึก)  
		
		แต่ป้อมพิฆาตปัจจามิตรได้ถูกฝรั่งเศสรื้อเสียแล้วเมื่อคราวฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีเพื่อสร้างที่พักทหารฝรั่งเศสซึ่งเรียกกันว่า
		ตึกแดง
		
		ในเวลานี้ 
		
		เมื่อได้สร้างเมืองใหม่ขึ้นแล้ว 
		รัฐบาลไทยในสมัยนั้นได้สั่งย้ายเมืองจันทบุรีจากที่ตั้งอยู่เดิม 
		ไปอยู่ที่เมืองใหม่ 
		และมีความปรารถนาที่จะให้ประชาชนอพยพจากเมืองเก่าที่ตั้งเป็นตัวจังหวัดเดี๋ยวนี้ไปอยูที่เมืองใหม่ด้วย 
		แต่เนื่องด้วยตัวเมืองใหม่ตั้งอยู่บนที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๓๐ เมตร 
		และตั้งอยู่ห่างจากคลองน้ำใสซึ่งเป็นคลองน้ำจืดประมาณ ๑ กิโลเมตร 
		ไม่สะดวกแก่ประชาชนในเรื่องน้ำใช้ 
		ประชาชนจึงไม่ใคร่สมัครใจอยู่คงอยู่ที่เมืองเก่าเป็นส่วนมาก 
		พวกที่อพยพไปอยู่จนตั้งเป็นหลักฐานก็มีแต่หมู่ข้าราชการ 
		ซึ่งปัจจุบันยังมีบุตรหลานของข้าราชการสมัยนั้น 
		ตั้งเคหสถานอยู่ที่บ้านทำเนียบในเมืองใหม่มาจนทุกวันนี้และเมื่อการสงครามระหว่างไทยกับญวนสงบลงแล้ว 
		เมืองใหม่ก็ไม่มีความสำคัญอย่างไรที่ประชาชนในเมืองเก่าจะต้องอพยพไปอยู่ 
		ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ 
		ให้ย้ายเมืองจันทบุรีจากเมืองใหม่ที่บ้านเนินวงกลับมาตั้งอยู่ที่เมืองเก่าตามเดิมและได้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ 
		เมืองใหม่จึงกลายเป็นเมืองร้างมาแต่ครั้งนั้น 
		
		ใน พ.ศ.
		
		๒๔๓๖ 
		(ร.ศ.
		
		๑๑๒)
		
		
		ไทยกับฝรั่งเศสได้เกิดกรณีพิพาทกันด้วยเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง 
		โดยฝรั่งเศสกล่าวหาว่าไทยรุกล้ำเข้าไปในดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสและได้ทำร้ายเจ้าพนักงานฝรั่งเศสด้วย 
		ฝ่ายไทยได้แก้ว่าดินแดนนั้นเป็นของไทยฝรั่งเศสบุกรุกเข้ามา 
		ฝ่ายไทยจำเป็นต้องขัดขวาง เมื่อการโต้เถียงไม่เป็นที่ตกลงปรองดองกันแล้ว 
		ฝรั่งเศสจึงได้ใช้อำนาจโดยส่งเรือรบเข้าไปปิดปากน้ำเจ้าพระยา 
		ไทยกับฝรั่งเศสจึงเกิดปะทะกันด้วยอาวุธเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.
		
		๒๔๓๖ ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความเสียหายด้วยกัน 
		ฝ่ายไทยเห็นว่าจะสู้ฝรั่งเศสในทางกำลังอาวุธมิได้แล้วจึงได้ขอเปิดการเจรจากับรัฐบาลฝรั่งเศสด้วยสันติวิธี 
		ฝ่ายฝรั่งเศสได้ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลไทยเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ.
		
		๒๔๓๖ รวม ๖ ข้อด้วยกัน มีใจความสำคัญที่ควรกล่าวคือ 
		ให้รัฐบาลไทยยอมสละสิทธิดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง 
		ตลอดจนเกาะทั้งหลายในลำน้ำนั้นเสีย 
		กับให้ไทยต้องเสียเงินเป็นค่าปรับให้แก่ฝรั่งเศส เป็นจำนวนเงิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ 
		แฟรงค์ 
		และก่อนที่จะได้ตกลงทำสัญญากันนี้ฝรั่งเศสจะต้องยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกัน 
		ฝ่ายไทยต้องยอมฝรั่งเศสทุกประการ 
		
		ในระหว่างที่มีการปะทะกับฝรั่งเศสนั้น 
		ทางจันทบุรีได้เตรียมต่อสู้ป้องกันตามกำลังที่พอจะทำได้ 
		เพราะในเวลานั้นมีกองทหารเรือตั้งอยู่ในตัวเมืองและที่ป้อมปากน้ำแหลมสิงห์ 
		แต่เมื่อได้ทราบว่ารัฐบาลยอมให้ผรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรี 
		กองทหารเรือทั้งสองแห่งก็ได้รีบโยกย้ายไปอยู่ที่เกาะจิก และอำเภอขลุง 
		ต่อมาอีกไม่กี่วัน ใน พ.ศ.
		
		๒๔๓๖ นั้นเอง ฝรั่งเศสก็ได้ยกกองทหารเข้าสู่เมืองจันทบุรี 
		ทหารโดยมากเป็นทหารญวนที่ส่งมาจากไซ่ง่อนที่เป็นฝรั่งเศสมีไม่มากนัก 
		และส่วนมากเป็นนายทหาร จำนวนทหารฝรั่งเศสและญวนรวมกันทั้งสิ้นประมาณ ๖๐๐ 
		คนเศษ ได้แยกกันอยู่เป็น ๒ แห่ง คือ ที่ป้อมปากน้ำแหลมสิงห์พวกหนึ่ง 
		ได้รื้อป้อมพิฆาตปัจจามิตรเสียแล้วสร้างตึกแถวเป็นที่พัก 
		ทั้งได้สร้างที่คุมขังนักโทษทหารไว้ด้วย 
		อีกพวกหนึ่งตั้งอยู่ในเมืองจันทบุรี ในบริเวณที่เรียกว่า 
		ค่ายทหาร
		
		เดี๋ยวนี้ได้จัดสร้างที่พักทหาร โรงพยาบาล ที่ขังนักโทษ 
		ที่เก็บอาวุธขึ้นในค่ายหลายคลัง ซึ่งยังคงอยู่ต่อมาจนทุกวันนี้ 
		
		ในระหว่างที่ฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีนั้น 
		ฝรั่งเศสได้ช่วยเหลือไทยทำการปราบปรามพวกอั้งยี่และช่วยเหลือพยาบาลประชาชนที่ป่วยไข้อันเป็นบุญคุณที่ได้กระทำไว้ในครั้งนั้น 
		
		
		แต่สิ่งที่ชั่วร้ายเลวทรามที่ทหารฝรั่งเศสและทหารญวนได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้ก็มิใช่น้อย 
		ทหารฝรั่งเศสที่เข้ามายึดครองจันทบุรีไม่มีอำนาจในการปกครองประชาชน 
		อำนาจการปกครองยังเป็นของไทยอยู่ตลอดเวลาที่ฝรั่งเศสยึดครอง 
		
		
		ฝรั่งเศสมีอำนาจเพียงปกครองทหารและคนที่ขึ้นในบังคับฝรั่งเศสเท่านั้น  
		
		แต่ในบางคราวฝรั่งเศสก็ก้าวก่ายอำนาจการปกครองของไทยบ้าง 
		ฝ่ายไทยต้องพยายามผ่อนผันอะลุ้มอล่วยเสมอมาจึงไม่ใคร่มีเรื่องขัดใจกัน 
		จนถึงเวลาที่ฝรั่งเศสถอนทหารออกไปจากจันทบุรี 
		และเนื่องด้วยไทยยังมีอำนาจในการปกครองในขณะที่ฝรั่งเศสยึดครองอยู่ 
		จึงได้มีชาวจีนและญวนพื้นเมืองบางคนไม่อยากอยู่ใต้อำนาจการปกครองของไทยพากันไปเข้าอยู่ในความปกครองของฝรั่งเศสเพื่อหวังประโยชน์บางประการ 
		จึงทำให้การบังคับบัญชาบุคคลจำพวกนี้ลำบากยิ่งขึ้น 
		แต่พอฝรั่งเศสออกจากจันทบุรีไปแล้ว 
		คนจำพวกนี้ก็พลอยหมดไปด้วยกลายเป็นไทยแท้ไม่มีคนในปกครองของฝรั่งเศส 
		
		กองทหารฝรั่งเศสได้ทำการยึดจันทบุรีอยู่เป็นเวลาถึง ๑๑ ปีเศษ 
		เมื่อรัฐบาลไทยและฝรั่งเศสได้ทำสัญญาตกลงกันเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖ 
		เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยฝ่ายไทยยินยอมยกดินแดนจังหวัดตราด 
		ตลอดจนถึงจังหวัดประจันตคีรีเขตให้แก่ฝรั่งเศส 
		กองทหารฝรั่งเศสทั้งหมดก็เริ่มถอนออกไปจากจันทบุรีจนหมดสิ้น เมื่อวันที่ ๑๒ 
		มกราคม ๒๔๔๗ และรัฐบาลไทยได้ย้ายกองทหารเรือที่เกาะจิกและที่อำเภอขลุงกลับเข้ามาตั้งอยู่ในจังหวัดจันทบุรีตามเดิม 
		 การจัดรูปการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาล 
		
		หลังจากจัดหน่วยราชการบริหารส่วนกลางโดยมีกระทรวงมหาดไทยในฐานะเป็นส่วนราช-การที่เป็นศูนย์กลางอำนวยการปกครองประเทศและควบคุมหัวเมืองทั่วประเทศแล้ว 
		การจัดระเบียบการปกครองต่อมาก็มีการจัดตั้งหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาค 
		ซึ่งมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทนหรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทยขึ้น 
		อันได้แก่ การจัดรูปการปกครองแบบเทศาภิบาล 
		ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบการปกครองอันสำคัญยิ่งที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 
		ทรงนำมาใช้ปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคในสมัยนั้น 
		การปกครองแบบเทศาภิบาล 
		เป็นระบบการปกครองส่วนภูมิภาคชนิดหนึ่งที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการจากส่วนกลางออกไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง 
		ๆ ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล 
		เป็นระบบการปกครองที่รวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย 
		และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประเพณีปกครองดั้งเดิมของไทย คือระบบกินเมือง 
		ให้หมดไป 
		
		การปกครองหัวเมืองก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ นั้น 
		อำนาจปกครองบังคับบัญชามีความหมายแตกต่างกันออกไปตามความใกล้ไกลของท้องถิ่น 
		หัวเมืองหรือประเทศราชยิ่งไกลไปจากกรุงเทพฯ เท่าใด 
		ก็ยิ่งมีอิสระในการปกครองตนเองมากขึ้นเท่านั้น 
		ทั้งนี้เนื่องจากทางคมนาคมไปมาหาสู่ลำบาก 
		หัวเมืองที่รัฐบาลปกครองบังคับบัญชาได้โดยตรงก็มีแต่หัวเมืองจัตวาใกล้ ๆ 
		ส่วนหัวเมืองอื่น ๆ 
		มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครองแบบกินเมืองและมีอำนาจอย่างกว้างขวาง 
		ในสมัยที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ-กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 
		ดำรงตำแหน่งเสนาบดี 
		พระองค์ได้จัดให้อำนาจการปกครองเข้ามารวมอยู่ยังจุดเดียวกัน 
		
		โดยการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น 
		มีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงซึ่งหมายความว่า  
		
		รัฐบาลมิให้การบังคับบัญชาหัวเมืองไปอยู่ที่เจ้าเมือง    
		
		ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลเริ่มจัดตั้งแต่ พ.ศ.
		
		๒๔๓๗ จนถึง พ.ศ.
		
		๒๔๕๘ 
		จึงสำเร็จและเพื่อความเข้าใจเรื่องนี้เสียก่อนในเบื้องต้น  
		
		จึงจะขอนำคำจำกัดความของ   
		การเทศาภิบาล  
		
		ซึ่งพระยาราชเสนา   
		(สิริ 
		
		เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
		
		อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงมหาดไทยตีพิมพ์ไว้ ซึ่งมีความว่า 
		การเทศาภิบาล 
		คือ 
		การปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยบริหารราชการอันประกอบด้วยตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
		และเป็นที่ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์ รับแบ่งภาระของรัฐบาลกลาง 
		ซึ่งประจำแต่เฉพาะในราชธานีนั้นออกไปดำเนินงานในส่วนภูมิภาค 
		อันเป็นที่ใกล้ชิดติดต่ออาณาประชากร 
		เพื่อให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญทั่วถึงกัน 
		โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ราชอาณาจักรด้วย ฯลฯ 
		จึงได้แบ่งส่วนการปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นขั้นอันดับดังนี้ คือ 
		ส่วนใหญ่เป็นมณฑลรองถัดลงไปเป็นเมือง คือ จังหวัดรองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล 
		และหมู่บ้าน 
		จัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวงทบวงกรมในราชธานี 
		และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา ความประพฤติดี 
		ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน 
		เพื่อนำมาซึ่งความเจริญเรียบร้อย รวดเร็ว แก่ราชการและธุรกิจของประชาชน 
		ซึ่งต้องอาศัยทางราชการเป็นที่พึ่งด้วย 
		
		จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น 
		ควรทำความเข้าใจบางประการเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาล 
		ดังนี้ 
		
		การเทศาภิบาล นั้น หมายความร่วมว่า เป็น 
		ระบบ
		
		การปกครองอาณาเขตชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า 
		การปกครองส่วนภูมิภาค
		
		ส่วน 
		มณฑลเทศาภิบาล 
		นั้น คือ 
		ส่วนหนึ่งของการปกครองชนิดนี้ และยังหมายความอีกว่า 
		ระบบเทศาภิบาลเป็นระบบที่รัฐบาลกลางจัดส่งข้าราชการส่วนกลางไปบริหารราชการในท้องที่ต่าง 
		ๆ แทนที่ส่วนภูมิภาคจะจัดปกครองกันเองเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม 
		อันเป็นระบบกินเมือง 
		ระบบการปกครองแบบเทศาภิบาลจึงเป็นระบบการปกครองซึ่งรวมอำนาจเข้ามาไว้ในส่วนกลาง 
		และริดรอนอำนาจของเจ้าเมืองตามระบบกินเมืองลงอย่างสิ้นเชิง 
		
		นอกจากนี้ มีข้อที่ควรทำความเข้าใจอีกประการหนึ่ง คือ 
		ก่อนการจัดระเบียบการปกครองแบบเทศาภิบาลนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ 
		ก่อนปฏิรูปการปกครองก็มีการรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลเหมือนกัน 
		แต่มณฑลสมัยนั้นหาใช่มณฑลเทศาภิบาลไม่ ดังจะอธิบายโดยย่อดังนี้ 
		เมื่อพระบาทสมเด็จ-พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
		พระปิยมหาราช 
		ทรงพระราชดำริจะจัดการปกครองพระราชอาณาเขตให้มั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 
		ทรงเห็นว่าหัวเมืองอันมีมาแต่เดิมแยกกันขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยบ้าง 
		กระทรวงกลาโหมบ้าง และกรมท่าบ้าง 
		การบังคับบัญชาหัวเมืองในสมัยนั้นแยกกันอยู่ถึง ๓ แห่ง 
		ยากที่จะจัดระเบียบปกครองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนกันได้ทั่วราชอาณาจักร 
		ทรงพระราชดำริว่า 
		ควรจะรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งปวงให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว    
		
		
		จึงได้มีพระบรมราชโองการแบ่งหน้าที่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงกลาโหมเสียใหม่ 
		เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.
		
		๒๔๓๕ 
		เมื่อได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยปกครองหัวเมืองทั้งปวงแล้ว 
		จึงได้รวบรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่เป็นผู้ปกครอง 
		การจัดตั้งมณฑลในครั้งนั้นมีอยู่ทั้งสิ้น ๖ มณฑล คือ 
		มณฑลลาวเฉียงหรือมณฑลพายัพ มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน 
		มณฑลเขมรหรือมณฑลบูรพา และมณฑลนครราชสีมา ส่วนหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตก 
		บัญชาการอยู่ที่เมืองภูเก็ต 
		
		การจัดรวบรวมหัวเมืองเข้าเป็น ๖ มณฑลดังกล่าวนี้ 
		ยังมิได้มีฐานะเหมือนมณฑลเทศาภิบาล 
		การจัดระบบการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้เริ่มอย่างแท้จริงเมื่อ พ.ศ.
		
		๒๔๓๗ เป็นต้นมา 
		และก็มิได้ดำเนินการจัดตั้งพร้อมกันทีเดียวทั่วราชอาณาจักร 
		แต่ได้จัดตั้งเป็นลำดับดังนี้ 
		พ.ศ.
		
		๒๔๓๗ เป็นปีแรก 
		
		ที่ได้วางแผนงานจัดระเบียบการบริหารมณฑลแบบใหม่เสร็จ 
		กระทรวงมหาดไทยได้จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ๓ มณฑล คือ มณฑลพิษณุโลก 
		มณฑลปราจีนบุรี มณฑลนครราชสีมา 
		ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากสภาพมณฑลแบบเก่ามาเป็นแบบใหม่ และในตอนปลายนี้ 
		เมื่อโปรดเกล้าฯ 
		ให้โอนหัวเมืองทั้งปวงซึ่งเคยขึ้นอยู่ในกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศมาขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวแล้ว 
		จึงได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลราชบุรีขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง 
		พ.ศ.
		
		๒๔๓๘ ได้รวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก ๓ มณฑล คือ 
		มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลกรุงเก่า 
		และได้แก้ไขระเบียบการจัดมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก คือ ตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต 
		ให้เข้ารูปลักษณะของมณฑลเทศาภิบาลอีกมณฑลหนึ่ง 
		พ.ศ.
		
		๒๔๓๙  
		
		ได้รวมหัวเมืองมณฑลเทศาภิบาลขึ้นอีก 
		
		๒ 
		
		มณฑล 
		
		คือ 
		
		มณฑลนครศรีธรรมราช 
		
		และมณฑลชุมพร 
		พ.ศ.
		
		๒๔๔๐ ได้รวมหัวเมืองมะลายูตะวันออกเป็นมณฑลไทรบุรี 
		และในปีเดียวกันนั้นเอง ได้ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกมณฑลหนึ่ง 
		พ.ศ.
		
		๒๔๔๓ ได้เปลี่ยนแปลงสภาพของมณฑลเก่า ๆ ที่เหลืออยู่อีก ๓ 
		มณฑล คือ มณฑลพายัพ มณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ให้เป็นมณฑลเทศาภิบาล 
		พ.ศ.
		
		๒๔๔๗ ยุบมณฑลเพชรบูรณ์ 
		เพราะเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย 
		พ.ศ.
		
		๒๔๔๙ จัดตั้งมณฑลปัตตานีและมณฑลจันทบุรี มีเมืองจันทบุรี 
		ระยอง และตราด 
		พ.ศ.
		
		๒๔๕๐ ตั้งมณฑลเพชรบูรณ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง 
		พ.ศ.
		
		๒๔๕๑ จำนวนมณฑลลดลง 
		เพราะไทยต้องยอมยกมณฑลไทรบุรีให้แก่อังกฤษ 
		เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขสัญญาค้าขาย 
		และเพื่อจะกู้ยืมเงินอังกฤษมาสร้างทางรถไฟสายใต้ 
		พ.ศ.
		
		๒๔๕๕ ได้แยกมณฑลอีสานออกเป็น ๒ มณฑล มีชื่อใหม่ว่า มณฑลอุบล 
		และมณฑลร้อยเอ็ด 
		พ.ศ.
		
		๒๔๕๘ จัดตั้งมณฑลมหาราษฎร์ขึ้น โดยแยกออกจากมณฑลพายัพ 
		 การจัดรูปการปกครองในสมัยปัจจุบัน 
		
		การปรับปรุงระเบียบการปกครองหัวเมืองเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น 
		ปรากฏตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
		
		๒๔๗๖ 
		จัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ 
		จังหวัดมีฐานะเป็นหน่วยบริหารราชการแผ่นดิน 
		มีข้าหลวงประจำจังหวัดและกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหาร 
		เมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
		นอกจากจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอแล้ว 
		ยังแบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลอีกด้วย 
		เมื่อได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม 
		พ.ศ.
		
		๒๔๗๖ จึงได้ยกเลิกมณฑลเสียเหตุที่ยกเลิกมณฑลน่าจะเนื่องจาก 
		๑) 
		
		การคมนาคมสื่อสารสะดวกและรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน  
		
		สามารถที่จะสั่งการและตรวจตราสอดส่องได้ทั่วถึง 
		๒) 
		
		เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของประเทศให้น้อยลง 
		๓) 
		
		เห็นว่าหน่วยมณฑลซ้อนกับหน่วยจังหวัด 
		
		จังหวัดรายงานกิจการต่อมณฑล 
		
		มณฑลรายงานต่อกระทรวง เป็นการชักช้าโดยไม่จำเป็น 
		๔)
		
		รัฐบาลในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ 
		
		มีนโยบายที่จะให้อำนาจแก่ส่วนภูมิภาคยิ่งขึ้น 
		และการที่ยุบมณฑลก็เพื่อให้จังหวัดมีอำนาจนั่นเอง 
		
		ต่อมาในปี พ.ศ.
		
		๒๔๙๕ 
		รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอีกฉบับหนึ่ง 
		ในส่วนที่เกี่ยวกับจังหวัดมีหลักการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนี้ 
		๑) 
		
		จังหวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล 
		แต่จังหวัดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
		
		๒๔๗๖ หามีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่ 
		๒) 
		
		อำนาจบริหารในจังหวัด ซึ่งแต่เดิมตกอยู่แก่คณะบุคคล ได้แก่ 
		คณะกรมการจังหวัด นั้น ได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่กับบุคคลคนเดียว คือ 
		ผู้ว่าราชการจังหวัด 
		๓) 
		
		ในฐานะของคณะกรมการจังหวัด 
		
		
		ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด 
		ได้กลายเป็นคณะเจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด 
		
		ต่อมา 
		ได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตามนัยประกาศของคณะปฏิวัติ 
		ฉบับที่ ๒๑๘ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๑๕ 
		โดยจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็น 
		๑) 
		
		จังหวัด 
		๒) 
		
		อำเภอ 
		
		จังหวัดนั้นให้รวมท้องที่หลาย ๆ อำเภอขึ้นเป็นจังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล 
		การตั้ง ยุบ และเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ 
		และให้มีคณะกรมการจังหวัดเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น 
		
		  
		 ที่มา
		: 
		
		ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดจันทบุรี 
		. 
		กรุงเทพมหานคร 
		: 
		
		โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น กรมการปกครอง,
		
		๒๕๒๔ 
		.
       |