| 
       
		
		ประวัติศาสตร์จังหวัดฉะเชิงเทรา 
		 
.ตั้งแต่เมืองฉะเชิงเทรา 
		ตั้งปากน้ำเจ้าโล้แล้วยกมาตั้งแปดริ้ว แล้วยกไปตั้งโสธร
.
		เป็นประโยคที่ได้จากจารึกในแผ่นเงิน  เมื่อ พ.ศ.
		๒๔๑๘ และถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ.
		๒๔๙๕ ปัจจุบัน    เงินแผ่นนี้เจ้าอาวาสวัดพยัคฆาอินทาราม
		(วัดเจดีย์) เก็บรักษาไว้ 
		คำว่า แปดริ้ว 
		ปรากฏเป็นหลักฐานในข้อเขียนบรรยายภาพประวัติวัดสัมปทวน ความว่า 
.บางช่องปั้นเป็นภาพของจังหวัดฉะเชิงเทรา 
		สมัย ๖๐ ปี สมัย ๑๐๐ ปี ที่ล่วงมาแล้วให้ผู้ที่ยังไม่ทราบจะได้ทราบว่า 
		จังหวัดฉะเชิงเทราซึ่งเดิม เรียกเมืองแปดริ้วนั้น  สมัยนั้นๆ 
		มีสภาพเป็นอย่างไร
.  และ พ.ศ.
		๒๕๓๐ ความว่า 
.เปลี่ยนจากเซาที่แปลว่า 
		ความเงียบ ยังมีอีกคำหนึ่งที่เรียกว่า บางปลาสร้อยร้อยริ้ว 
		บางปลาสร้อยก็คือ ชลบุรี ร้อยริ้วก็คือ แปดริ้ว หรือฉะเชิงเทรานี้เอง
. 
		 
		
		
		เมืองแปดริ้วอยู่ที่ไหน ถ้าแปดริ้วกับร้อยริ้ว 
		คือเมืองเดียวกันด้วยอิทธิพลของภาษาจีนเพี้ยนเป็นคำไทย และถ้าเป็นเช่นนั้น 
		เมืองฉะเชิงเทราเป็นเมืองโบราณเพราะหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบขึ้นภายหลังล้วนอยู่ในบริเวณใกล้เมืองฉะเชิงเทราทั้งสิ้น 
		ดังนั้นชุมชนโบราณของฉะเชิงเทราก็ควรเป็นเมืองร้อยริ้วที่คล้องจองกับบางปลาสร้อยนั่นเอง 
		
		
		ถึงอย่างไรชื่อเมืองแปดริ้ว 
		ก็จัดอยู่ในประเภทตำนานหรือมีนิทานชาวบ้านที่เลียบชาย    ฝั่งทะเล 
		ยังมีมากกว่านี้ 
		ถ้าหากนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์จะไม่หลงลืมดินแดนนี้ไปเสีย  
		เพราะหลักฐานที่เกี่ยวกับมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยังมีอีกมาก
 
		"อย่างน้อยก็เป็นดินแดนปากทางเข้า 
		และฐานเศรษฐกิจทางทะเลของที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเมืองไทยและที่ราบต่ำในเขมร
"
		 
		
		
		ทั้งหมดนี้คงพอจะเป็นพลังให้นักคิด  นักเขียน 
		สามารถนำไปศึกษาข้อมูลเพื่อสนับสนุนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้มีความก้าวหน้าและสมบูรณ์ขึ้น 
		
		
		พงศาวดารกับประวัติเมืองฉะเชิงเทรานั้น ปรากฏหลักฐานว่า 
		สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ยกทัพไปกวาดต้อนครัวไทยกลับคืนมา  
		หลังจากที่พระยาละแวกได้ฉวยโอกาสขณะที่ไทยติดสงครามพม่า  
		เขมรเข้ามากวาดครัวไทย แถบจังหวัดจันทบูร ระยอง ฉะเชิงเทรา  และชาวนาเริง
		(นครนายก)
		ในการศึกษาครั้งนี้ 
		ชาวฉะเชิงเทราได้มีส่วนช่วยราชการสงครามได้รับความชอบซึ่งเป็นเกียรติมาแต่ครั้งนั้น 
		เจ้าเมืองซึ่งเคยมีบรรดาศักดิ์เพียง "พระวิเศษ"
		ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น "พระยาวิเศษ" 
		ตั้งแต่นั้นมา 
		
		
		ล่วงเข้าสมัยอยุธยาตอนปลาย กรมหมื่นเทพพิพิธได้รวบรวมกองทัพชาวเมืองแถบ   
		ตะวันออกพร้อมด้วยชาวเมืองฉะเชิงเทราเข้าร่วมในกองทัพนั้น  
		เพื่อเข้าไปช่วยแก้ไขอยุธยาที่กำลังเข้าตาจนในขณะนั้น 
		แต่กองทัพไปเสียทีพม่าที่ปากน้ำโยธกาเสียก่อน 
		
		
		เมื่ออยุธยาคับขันถึงขนาดจะแก้ไขไม่ได้แล้ว 
		พระยาตากได้คุมพลประมาณหนึ่งพันเศษ ตลุยทหารพม่ามาข้ามฟากที่ปากน้ำเจ้าโล้ 
		อำเภอบางคล้า แล้วเดินทัพมุ่งไปตั้งตัวที่จันทบุรี 
		ใช้เวลาบำรุงฝึกปรือกองทัพเป็นเวลา ๗ เดือนเต็ม 
		แล้วจึงนำทัพขับไล่พม่าพ้นจากดินแดนไทย 
		ในครั้งนั้นคนฉะเชิงเทราก็ได้เข้าร่วมไปกับกองทัพกู้ชาติอย่างสมภาคภูมิ 
		และถือเป็นเกียรติยศของชาวเมืองฉะเชิงเทราที่มีเลือดของความเป็นผู้เสียสละและรักชาติอย่างแท้จริงตลอดมานั้นด้วย 
		
		
		เข้าสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองฉะเชิงเทราได้อยู่ในสายตาชาวตะวันตกแล้ว 
		เพราะจากบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสกล่าวว่า 
		"
..จังหวัดแปดริ้ว
		(ต้นฉบับเขียน          ) 
		และบางปลาสร้อย ๓๐๐ คน
.." (หมายถึงมีคริสต์ศาสนิกชน)
		การบันทึกของฝรั่งนี้อยู่ในปี พ.ศ.
		๒๓๗๓ 
		ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวต่างประเทศก็ให้ความสำคัญต่อดินแดนแถบนี้เป็นอย่างมาก 
		ยิ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการเดินทางของฝรั่งก้าวหน้าและทันสมัย 
		ก็ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้มีการสำรวจบริเวณลุ่มแม่น้ำบางปะกงนี้อย่างกว้างขวางอย่างแน่นอนเพียงแต่เรายังไม่พบหลักฐานที่เขาเขียนไว้อย่างละเอียดในตอนนี้เท่านั้น 
		และคาดว่าต่อไปเมื่อพบคงจะทราบของแปลกๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่ 
		
		
		ต่อมาไทยเกิดบาดหมางกับญวน สู้รบกันในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 
		รัชกาลที่ ๓ 
		และภายหลังญวนได้ได้ตกไปเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสจึงทำให้ไทยเล็งเห็นถึงภัยที่จะมาจากเรือ   
		ต่างชาติ 
		พระองค์จึงรับสั่งให้สร้างป้อมขึ้นที่เมืองฉะเชิงเทราพร้อมกับเมืองอื่นๆ 
		อีกหลายเมืองในปี พ.ศ.
		๒๓๗๗ 
		เมืองฉะเชิงเทราจึงปรากฏหลักฐานเป็นเมืองคล้ายเมืองสมัยใหม่คือมีป้อมป้องกันแบบเมืองสมัยใหม่เพื่อทานแรงจากการยิงของปืนเรือศัตรูที่มาทางเรือ 
		ข้อนี้นับเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่ควรจะเล็งเห็นถึงอดีตของกำแพงเมืองที่ยังอนุรักษ์ไว้เพื่อการศึกษาเป็นอย่างดี  
		ป้อมเมืองหรือกำแพงเมืองฉะเชิงเทราสร้างขึ้นพร้อมกับวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎ์ซึ่งถือเป็นวัดหลวงในสมัยนั้น 
		เพื่อประกอบพิธีการต่างๆ ต่อมาในปี พ.ศ.
		๒๓๙๐ เกิดจลาจล "อั้งยี่"
		พวกนี้เป็นคนจีนที่อพยพเข้ามารับจ้างทำไร่ 
		และเป็นกรรมกรในงานอื่นๆ เกิดมีความกำเริบยึดเมือง 
		และฆ่าเจ้าเมืองฉะเชิงเทราในครั้งนั้นคือ พระยาวิเศษฤาชัย (บัว) 
		
		มีผลให้บ้านเมืองฉะเชิงเทราร่วงโรยไประยะหนึ่ง 
		
		
		พอเข้าสู่ยุคการล่าอาณานิคมอย่างจงใจของชาติมหาอำนาจ 
		เมืองฉะเชิงเทราจึงได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย 
		เพื่อเป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ในด้านทิศตะวันออกอีกครั้งหนึ่ง 
		
		
		เริ่มตั้งแต่การสร้างทางรถไฟมาถึงแปดริ้ว 
		และสร้างที่ว่าการมณฑลปราจีนไว้ในย่านเดียวกัน คือริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง
		(ปัจจุบันคือศาลากลางไฟไหม้ 
		สร้างเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๔๙)
		สร้างกำลังทหารกองพล ๙ ขึ้นที่ตำบลโสธร (ค่ายศรีโสธรปัจจุบัน)
		สร้างโรงเรียนตัวอย่างมณฑลปราจีน             "ฉะเชิงเทรารังสฤษฎิ์" 
		(ปัจจุบันคือโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์) 
		
		การที่ต้องเร่งดำเนินการสร้างบ้านเมืองให้ทันสมัยก็เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนที่กำลังไม่แน่ใจในอธิปไตยของชาติ 
		เพราะชาติมหาอำนาจใช้นโยบายสิทธิสภาพนอกอาณาเขตคือ 
		คนในบังคับของสถานกงสุลไปขึ้นศาลกงสุลสำหรับคนต่างด้าวโดยเฉพาะ 
		ชาวจีนต่างก็สนใจที่จะไปเป็นคนในบังคับของต่างชาติ 
		และพร้อมกับเมื่อมีข่าวเรื่องการเสียดินแดนให้กับชาติมหาอำนาจบ่อยๆ ด้วย 
		จึงทำให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองให้ประชาชนเกิดความเลื่อมใสต่อการปกครองของรัฐบาลไทยและเมืองฉะเชิงเทรานี้ 
		ก็ได้เป็นตัวอย่างให้มณฑลอื่นๆ 
		มาดูแบบอย่างการปกครองที่ก้าวหน้าและมั่นคงในครั้งนี้ด้วย 
		จึงนับเป็นประวัติศาสตร์ที่ 
		สมควรแก่การบันทึกให้เยาวชนชาวฉะเชิงเทราได้ภาคภูมิใจโดยถ้วนหน้าด้วย
		 
		
		
		อีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะได้ให้ทราบโดยทั่วกันคือ 
		ดินแดนเมืองฉะเชิงเทรานี้มีประชาชนที่รวมกันอยู่หลายเชื้อชาติหลายวัฒนธรรม 
		แต่ทางราชการก็ได้ดำเนินการปกครองที่ก่อให้เกิดความกลมกลืนได้อย่างราบรื่นกล่าวคือ 
		แต่งตั้งปลัดเขมรขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่ง เรียกว่า 
		"พระกัมพุชภักดี"
		เพื่อช่วยทางราชการปกครองคนไทยวัฒนธรรมเขมร 
		หรือตั้งปลัดจีนขึ้นมาช่วยปกครองคนจีนที่เข้ามาทำมาหากินที่ฉะเชิงเทรามากขึ้นในขณะนั้น 
		และเรียกตำแหน่งปลัดจีนว่า "หลวงวิสุทธิจีนชาติ"
		และถ้าเป็นระดับ  นายอำเภอก็ตั้งเป็น "หมื่นวิจารณกฤตจีน"
		เป็นต้น 
		
		สรุปว่า 
		เมืองฉะเชิงเทราได้คงความสำคัญของชาติบ้านเมืองมาแต่โบราณกาล 
		เมื่อเข้าสู่ยุคการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ.
		๒๔๗๕ การปกครองในระบบเทศาภิบาลที่เริ่มมาเมื่อ พ.ศ.
		๒๔๓๖ ก็ยุติลง เริ่มใช้ พ.ร.บ.
		ว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.
		๒๔๗๖และรัฐบาลก็กระจายอำนาจมายังส่วนภูมิภาค ในปี พ.ศ.
		๒๔๙๕ 
		จังหวัดฉะเชิงเทราได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งภาคมีเขตรับผิดชอบ ๘ 
		จังหวัด ซึ่งเป็นการตั้งภาคครั้งสุดท้ายแล้วก็ยกเลิกไป 
		
		ในปัจจุบัน 
		ฉะเชิงเทรามี ๘ อำเภอ ๑ กิ่ง ได้แก่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อำเภอบางคล้า 
		อำเภอบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางปะกง อำเภอบ้านโพธิ์ อำเภอพนมสารคราม 
		อำเภอสนามชัยเขต อำเภอแปลงยาว และกิ่งอำเภอราชสาส์น 
		
		
		มีองค์การบริหารส่วนจังหวัด ๑ แห่ง เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา 
		เทศบาลตำบลบางคล้า สุขาภิบาล ๑๕ แห่ง และสภาตำบล ๘๙ ตำบล 
		สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๔ คน  
		
		มีกองพล ร.๑๑ 
		ตั้งขึ้นเมื่อ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.
		๒๕๒๔ ที่ตำบลบางตีนเป็ด อ. 
		เมือง       จ. ฉะเชิงเทรา 
		ถือเป็นประวัติศาสตร์ด้านการทหาร ซึ่งในสมัยการล่าอาณานิคม 
		รัฐบาลก็ได้เคยขยายกำลังทหารระดับกองพลมาตั้งไว้ครั้งหนึ่งแล้วคือ กองพล ๙ 
		ที่ได้กล่าวไปแล้วครั้งหนึ่ง มาปัจจุบันสถาน-การณ์ทางชายแดนตะวันออกส่อไปในทางไม่ปลอดภัย 
		รัฐบาลจึงเตรียมการไว้โดยไม่ประมาทซึ่งนับว่าเป็นขวัญและกำลังใจกับลูกแปดริ้วอีกส่วนหนึ่งด้วย 
		
		
		การศึกษาของจังหวัดนั้นนับว่าเคยได้รับการเหลียวแลอย่างจริงจังมาตั้งแต่สมัยปรับตัวเผชิญกับการล่าอาณานิคมแล้ว 
		ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดีที่คนเมืองนี้สามารถรับรู้แนวความคิดเห็นใหม่ๆ 
		ได้อย่างสะดวกโดยไม่รู้สึกขัดกับระเบียบชีวิตของตน 
		เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้ว ทาง  องค์การยูเนสโก 
		ก็ยังใช้เมืองฉะเชิงเทราเป็นศูนย์ทดลองการศึกษา ตั้งแต่ปี พ.ศ.
		๒๔๙๔ 
		ซึ่งปัจจุบันสถานที่นี้ได้เป็นสำนักงานการศึกษาเขต ๑๒ ตั้งอยู่ที่ถนนมรุพงษ์ 
		บริเวณริมน้ำหน้าวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์  
		นอกจากนั้นแล้วยังมีสถาบันชั้นสูงที่มีรากฐานจากการทดลองปรับปรุงการศึกษาในครั้งนั้น 
		ช่วยสร้างคนแปดริ้วให้มีคุณภาพพร้อมกันอีกหลายโรงเรียนหลายวิทยาลัย 
		
		
		ฐานเศรษฐกิจของจังหวัดนับเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สมบูรณ์ยิ่งแห่งหนึ่งของประเทศไทยทีเดียว 
		เพราะทั้งเรือกสวนไร่นา การปศุสัตว์ เจริญรุดหน้าไปกว่าแหล่งอื่นเป็นอันมาก 
		
		  
		
		
		_______________________________ 
		
		ที่มา 
		:
		อ.สุนทร คัยนันทน์. 
		
		หนังสือที่ระลึกเปิดศาลาประชาคมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระภูมิพลมหาราช.
		ชลบุรี : กมลศิลป์การพิมพ์,
		๒๕๓๑. 
       |