| 
       
		
		ประวัติศาสตร์จังหวัดระยอง 
		
		เมื่อมองดูแผนที่ประเทศซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายขวานโบราณ 
		ทางภาคตะวันออกเฉียง 
		
		
		ใต้อันเป็นส่วนหนึ่งของตัวขวานจะเป็นที่ตั้งของจังหวัดระยอง เมืองเล็กๆ 
		เมืองหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างสองเมืองใหญ่คือ ชลบุรีและจันทบุรี 
		ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพมหานครไม่เกินสามชั่วโมงก็จะมาถึงเมืองระยอง 
		เมืองที่มีมาแต่ครั้งโบราณมาแล้ว 
		
		 ประวัติการก่อตั้ง 
		
		
		ระยองเริ่มมีชื่อปรากฏในพงศาวดารเมื่อปี พ.ศ.
		๒๑๑๓ ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา 
		ส่วนประวัติดั้งเดิมก่อนหน้านี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่พอจะเชื่อถือได้ว่าระยองน่าจะเป็นเมืองที่ก่อสร้างขึ้นในสมัยของ 
		ขอม คือ เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 
		๑๕๐๐ ซึ่งเป็นสมัยที่ขอมมี   
		 
		
		
		อนุภาพครอบคลุมอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ มีเมืองนครธมเป็นราชธานี 
		ขอมได้สร้างเมืองนครพนมเป็นเมืองหน้าด่านแรก เมืองพิมายเป็นเมืองอุปราชและได้สถาปนาเมืองลพบุรีขึ้นเป็นเมืองสำคัญด้วย 
		ส่วนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองนครธม 
		เมืองหน้าด่านเมืองแรกที่ขอมสร้างก็คือ เมืองจันทบูรหรือจันทบุรีในปัจจุบันนี้ 
		
		
		เมื่อขอมสร้างจันทบุรีเป็นเมืองหน้าด่าน 
		เพื่อนำเอาอารยะธรรมของขอมเข้ามาสู่แคว้น   ทวาราวดี 
		ก็น่าจะอนุมานได้ว่าขอมเป็นผู้สร้างเมืองระยองนี้ 
		แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด  
		นักโบราณคดีได้สันนิษฐานจากหลักฐานที่ได้ค้นพบ คือ ซากหินสลักรูปต่างๆ 
		ที่ปรากฏอยู่ที่บ้านดอน บ้านหนองเต่า ตำบลเชิงเนิน 
		คูค่ายและซากศิลาแลงบ้านคลองยายล้ำ ตำบลบ้านค่าย อำเภอบ้านค่ายซึ่งเป็นศิลปการก่อสร้างแบบขอม 
		ทำให้สันนิษฐานว่าระยองน่าจะเป็นเมืองที่ก่อสร้างขึ้นในสมัยของขอมอย่างแน่นอน 
		
		ที่ตั้ง 
		
		
		ที่ตั้งของเมืองปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง 
		ส่วนที่ตั้งดั้งเดิมนั้นหนังสือ 
		"ตำนานเมือง"
		ของราชบัณฑิตยสภากล่าวไว้ว่า 
		ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าที่เดิมจะตั้งอยู่ในท้องที่ใด 
		ได้ความเพียงว่าตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเก่า อำเภอบ้านค่าย 
		ปัจจุบันมีซากหินหลักรูปต่างๆ ศิลาแลงปรากฏให้เห็นอยู่ 
		ขณะนี้เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองเท่าใดนัก 
		ขึ้นอยู่กับตำบลตาขัน ตำบลบ้านค่าย ต่อมาชายฝั่งทะเลได้งอกออกไปเรื่อยๆ 
		จึงได้เลื่อนตัวเมืองตามลงไปตั้งอยู่ที่ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง 
		ในปัจจุบัน 
		
		จาก 
		"นิราศเมืองแกลง"
		ของสุนทรภู่ก็ได้กล่าวถึง "บ้านเก่า"
		ไว้ตอนหนึ่งว่า 
		
		"พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่อง 
		
		
		ถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว 
		
		
		แวะเข้าย่านบ้านเก่าค่อยเบาใจ 
		
		
		เขาจุดไต้ต้อนรับให้หลับนอน" 
		
		คำว่า 
		"บ้านเก่า"
		นี้ คงจะหมายถึงหมู่บ้านเก่า 
		ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองระยองในเวลานั้นนั่นเอง 
		สุนทรภู่ได้แวะพักเอาแรงที่บ้านเก่า ๒ คืนก่อน 
		แล้วจึงออกเดินทางต่อไปยังบ้านนาตาขวัญ บ้านแลง 
		ผ่านไปเรื่อยจนกระทั่งถึงบ้านกร่ำ อำเภอแกลง (ในสมัยนั้นเป็นเมืองแกลง)
		
		เพื่อไปพบกับบิดาซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่นั้น 
		
		 ที่มาของคำว่า
		"ระยอง" 
		
		
		มีผู้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของชื่อนี้เป็นหลายกระแส คือ 
		
		๑.
		ตำบลท่าประดู่อันเป็นที่ตั้งของตัวเมืองในขณะนี้ 
		แต่เดิมเป็นที่อาศัยของพวกชอง 
		ซึ่งตั้งรกรากอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย 
		ซึ่งครอบคลุมอยู่ในแถบระยอง จันทบุรี 
		ชนเผ่านี้มีความชำนาญในป่าเขาลำเนาไพรและมีภาษาพูดของตนเอง 
		เป็นชนพื้นเมืองที่นิยมใช้ลูกปัดสีต่างๆ และทองเหลืองเป็นเครื่องประดับ 
		สืบเชื้อสายมาจากพวกขอม (นักชาติวงศ์วิทยาจัดให้อยู่ในพวกมอญ-เขมร)
		อันนี้ทำให้น่าคิดว่า คำว่า ระยอง ตะพง เพ แลง ชะเมา แกลง 
		ซึ่งเป็นชื่อเมือง ตำบลและอำเภอ ซึ่งไม่มีคำแปลในพจนานุกรมไทย 
		ก็น่าจะมาจากภาษาชองนี่เอง จากเรื่อง "อาณาจักรชอง 
		ตอนหนึ่ง" ของแก่นประดู่กล่าวไว้ว่า "ผู้เฒ่าผู้แก่วัยหนึ่งศตวรรษ 
		หลายต่อหลายคนต่างก็ยืนยันในคำพูด 
		อยู่ในทำนองเดียวกันว่าระยองเป็นภาษาพูดคำหนึ่งของคนเผ่าชอง 
		ซึ่งเดิมเรียกกันว่า "ราย็อง" (เวลาอ่านต้องอ่านออกเสียงตัว 
		รา ให้ยาวหน่อย และออกเสียงตัว ย็อง ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้)
		คำ "ราย็อง"
		นี้ เล่ากันมาแปลว่า "เขตแดน"
		หมายถึงว่าเป็นดินแดนของพวกชองอยู่ 
		แต่ภาษาพูดนี้เรียกเพี้ยนกันมาเรื่อยๆ จึงกลายเป็น "ระยอง"
		ในที่สุด 
		
		๒.
		อีกกระแสหนึ่งกล่าวว่าคำว่า "ระยอง"
		นี้ในภาษาชองน่าจะหมายถึง 
		ไม้ประดู่ เพราะ  
		ในบริเวณที่มีพวกชองตั้งรกรากอยู่นั้นอุดมไปด้วยไม้ประดู่ 
		ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง ปัจจุบันหายากมากและราคาแพง เขตแดนแถบนี้จึงมีชื่อว่า
		ตำบลท่าประดู่  อันเป็นที่ตั้งของเมืองระยองเวลานี้ 
		
		๓.
		ผู้อ้างหลักฐานว่าแต่เดิมมีหญิงชราชื่อว่า "ยายยอง"
		
		เป็นผู้มาตั้งหลักฐานประกอบอาชีพทำไร่ในแถบนี้ก่อนผู้ใด 
		จึงเรียกบริเวณแถบนี้ว่า "ไร่ยายยอง" 
		
		ต่อมาภาษาพูดก็เพี้ยนไปจนกลายเป็นระยองในที่สุด 
		
		
		ชนเผ่าชองจะมาตั้งรกรากอยู่ทางดินแดนแถบระยองเมื่อไรไม่ปรากฏ 
		แต่เล่ากันว่ามีมานานแล้ว 
		เมื่อคราวที่สุนทรภู่เดินทางมาเยี่ยมบิดาที่เมืองแกลงก็ยังมีพวกชองอยู่เป็นจำนวนมาก 
		สุนทรภู่ได้เขียนถึงพวกชองไว้ในนิราศเมืองแกลงว่า 
		"ด้วยเดือนเก้าเข้าวสาเป็นหน้าฝน 
		
		จึงขัดสนสิ่งของต้องประสงค์ 
		
		ครั้นแล้วลาฝ่าเท้าท่านบิตุรงค์ 
		ไปบ้านพลงค้อตั้งริมฝั่งคลอง 
		
		
		ดูหนุ่มสาวชาวบ้านรำคาญจิต 
		
		
		ไม่น่าคิดเข้าในกลอนอักษรสนอง 
		
		
		ล้วนวงศ์วานว่านเครือเป็นเชื้อชอง 
		
		
		ไม่เหมือนน้องนึกน่าน้ำตากระเด็น" 
		
		กล่าวกันว่า 
		แม้แต่ตระกูลทางบิดาของสุนทรภู่ก็เป็นเชื้อชอง 
		ปัจจุบันไม่มีชนเผ่านี้อยู่ในระยอง เพราะไม่ชอบอยู่ในย่านตลาดหรือชุมนุมชน 
		เมื่อความเจริญย่างเข้ามาก็อพยพทิ้งถิ่นไปเรื่อยๆ 
		และยังมีเชื้อสายชาวชองปรากฏอยู่ที่บ้านคะเคียนทอง คลองพลู อำเภอมะขาม 
		จังหวัดจันทบุรี 
		
		 ด้านประวัติศาสตร์ 
		
		
		ขอย้อนกล่าวทางด้านประวัติศาสตร์บ้าง 
		ประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงเมืองระยองในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา 
		พระยาละแวก เจ้าเมืองเขมร ทรงคิดว่าไทยอ่อนแอ 
		จึงถือโอกาสกรีฑาทัพบุกรุกเข้ามาในแดนไทยแถบหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออก 
		ตามวิสัยที่เคยกระทำมาเป็นเนืองนิจ คือเมื่อไทยเข้มแข็ง 
		เขมรก็มาสวามิภักดิ์ แต่เมื่อไทยอ่อนแอก็ถือโอกาสโจมตีทุกครั้งไป 
		แต่ในครั้งนี้เขมรก็ไม่สามารถยึดครองหัวเมืองเหล่านี้ไว้ได้ 
		จึงเพียงแต่กวาดต้อนผู้คนไปยังประเทศเขมร 
		ซึ่งในบรรดาชาวเมืองที่ถูกกวาดต้อนไปในครั้งนั้นก็มีชาวระยองอยู่ด้วยไม่น้อย 
		
		
		ประวัติศาสตร์อีกตอนหนึ่งได้กล่าวถึงเมืองระยองในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา 
		ในระหว่างที่กรุงศรีอยุธยาใกล้จะเสียทีแก่พม่าเป็นครั้งที่สอง พระยาวชิรปราการหรือพระยาตากแม่ทัพคนสำคัญแห่งกรุงศรีอยุธยา 
		ซึ่งถูกเกณฑ์ให้มารักษากรุงในระหว่างที่ถูกพม่าล้อมไว้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.
		๒๓๐๖ - ๒๓๑๐ 
		ได้พิจารณาเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาคงจะต้องเสียทีแก่พม่าเป็นแน่แท้เพราะพระเจ้าเอกทัศน์ 
		กษัตริย์ผู้ครองกรุงในเวลานั้นทรงอ่อนแอและไร้ความสามารถ 
		ถ้าขืนสู้รบต่อไปก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ฉะนั้น ในราวเดือนยี่ พ.ศ.
		๒๓๐๙ พระยาตากจึงรวบรวมพรรคพวกประมาณ ๕๐๐ คน 
		มีทั้งไทยและจีน 
		รวมทั้งข้าราชการที่มีความเชื่อถือในฝีมือของพระยาตากอีกหลายคน อาทิ เช่น 
		พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยราชา หลวงราชเสนา หมื่นราชเสน่หา 
		ออกไปตั้งหลัก ณ วัดพิชัย (อยู่ใต้สถานีรถไฟในปัจจุบัน)
		แล้วยกกองทัพมุ่งไปทางตะวันออก ได้ปะทะกับพม่า 
		แต่สามารถตีฝ่าวงล้อมไปได้ 
		พอไปถึงบ้านลำบัณฑิตเวลาสองยามเศษก็แลเห็นแสงเพลิงไหม้กรุง 
		ต่อจากนั้นก็มุ่งไปบ้านโพธิสามหาว (โพธิสาวหารหรือโพธิสังหารก็เรียก)
		และบ้านพรานนก 
		ได้สู้รบกับพม่าไปตลอดทาง 
		
		
		เส้นทางเดินทัพของพระยาตากที่ปรากฏในพงศาวดารภาคที่  ๖๕ เป็นดังนี้ 
		
		
		ออกจากบ้านพรานบนไปบ้านบางคง หนองไม้ซุง ตามทางเมืองนครนายกไปบ้านนาเริ่ง 
		ถึงเมืองปราจีนบุรี บ้านด่านขบและบ้านทองหลาง ตะพานทอง บางปลาสร้อย 
		ถึงบ้านนาเกลือ  ออกไป   พัทยา นาจอมเทียน ไก่เตี้ย สัตหีบ หินโค่ง 
		แวะหยุดพักไพร่พลที่บ้านน้ำเก่าซึ่งเข้าใจกันในปัจจุบันนี้ว่าเป็นเป็นบ้านเก่า 
		ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย ซึ่งขณะนั้นผู้รั้งเมืองระยอง คือ พระยาระยอง
		(บุญเมืองหรือบุญเรือง)
		ได้ทราบข่าวว่าพระยาตากยกทัพมาก็เกิดความเกรงกลัว 
		จึงพาคณะกรมการเมืองออกไปเชิญให้พระยาตากพาไพร่พลเข้ามาพักในเมือง 
		พร้อมทั้งมอบธัญญาหารเกวียนหนึ่งให้พระยาตาก 
		พระยาตากได้พาไพร่พลเข้ามาที่ท่าประดู่ และพักแรมอยู่ที่วัดลุ่ม (วัดลุ่มมหาชัยชุมพล)
		สองคืน จึงได้ทำการตั้งค่าย 
		ขุดคูปักขวากล้อมบริเวณที่พักไว้โดยมิได้ประมาท 
		
		
		ในระหว่างเวลานั้น เป็นระยะที่กรุงศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่า ฉะนั้น 
		การยกทัพมาของพระยาตาก   
		ทำให้กรมการเมืองระยองคิดระแวงไปว่าพระยาตากจะคิดร้ายต่อบ้านเมืองจึงหลบหนีการสู้รบมา 
		จึงได้นำเรื่องเข้าปรึกษาพระยาระยอง ซึ่งพระยาระยองก็ได้กล่าวห้ามปราม 
		แต่กรมการเมืองไม่ยอมเชื่อ ครั้งเมื่อพระยาตากพักอยู่ที่วัดลุ่มได้สองวัน 
		นายบุญรอด แขนอ่อน นายมาด นายบุญมา น้องเมียพระจันทบูร 
		ได้เข้ามาถวายตัวทำราชการและได้นำความมาแจ้งว่าขุนรามหมื่นซ่อง 
		นายทองอยู่นกเล็ก ขุนจ่าเมือง 
		(ด้วง)
		หลวงแสนพลหาญ กรมการเมืองระยองได้คบคิดกับพวกทหารประมาณ ๑,๕๐๐ 
		คน จะยกเข้ามาประทุษร้ายพระยาตาก 
		ครั้นเมื่อทราบความเช่นนั้นพระยาตากจึงเรียกผู้รั้งเมือง คือ 
		พระยาระยองมาซักถามความจริง แต่ผู้รั้งไม่ยอมรับ 
		พระยาตากจึงสั่งให้ทหารคุมตัวผู้รั้งเมืองไว้และเตรียมการที่จะรับมือกับศัตรูต่อไป 
		
		พอพลบค่ำ 
		พระยาตากจึงสั่งให้ทหารเตรียมการป้องกันไว้และดับไฟมืดทั้งค่าย 
		ตกเวลาประมาณทุ่มเศษ พวกกรมการเมืองซึ่งไม่ทราบว่าพระยาตากรู้ตัวก็คุมทหาร 
		๓๐ คน เข้าโจมตีค่ายทางด้านเหนือ คือทางด้านวัดเนิน มีขุนจ่าเมือง 
		(ด้วง)
		เป็นหัวหน้า 
		เมื่อขุนจ่าเมืองคุมพรรคพวกเข้ามาใกล้ค่ายประมาณ ๕-๖ 
		วา 
		พระยาตากก็สั่งให้ทหารระดมยิงปืนพร้อมกันขุนจ่าเมืองและทหารไม่ทันรู้ตัวจึงถูกอาวุธบาดเจ็บล้มตายไปตามๆ 
		กัน พวกกรมการเมืองและทหารที่เหลืออยู่เกิดความกลัวจึงพากันล่าถอยไป 
		พระยาตากก็ระดมไพร่พลไล่โจมตีและยึดเมืองระยองได้ในคืนนั้นเอง 
		ยึดได้ทั้งศาสตราวุธและธัญญาหารเป็นจำนวนมาก 
		บรรดาเหล่าทหารได้เห็นความสามารถและความฉลาดหลักแหลมของพระยาตาก 
		จึงพากันยกย่องเรียกพระยาตากว่า "เจ้าตาก"
		แต่โดยที่ชื่อเดิมของพระยาชื่อว่า "สิน"
		จึงพากันเรียกว่า "เจ้าตากสิน"
		ฉะนั้น จะถือได้ว่าพระยาตากได้รับการยกย่องให้เป็น 
		"เจ้า" 
		ที่เมืองระยองนี่เองก็ไม่ผิดนัก 
		เมื่อเจ้าตากยึดเมืองระยองได้แล้วก็โปรดให้พักไพร่พลอยู่ในเมือง ๗-๘ 
		วัน เพื่อบำรุงขวัญทหารและจัดการเมืองให้เสร็จเรียบร้อย 
		แล้วจึงเสด็จต่อไปยังเมืองจันทบุรีเพื่อยึดเป็นที่ตั้งมั่นในการกอบกู้อิสรภาพของชาติคืนจากพม่าต่อไป 
		
		 การโอนเมืองแกลงมาขึ้นกับเมืองระยอง 
		
		
		อำเภอแกลงนั้นแต่เดิมเป็นเมืองเรียกกันว่า 
		"เมืองแกลง" 
		มีฐานะเป็นเมืองจัตวาคู่กับเมือง ขลุง ขึ้นอยู่กับเมืองจันทบูร
		(จันทบุรี) 
		
		ด้วยเหตุที่เมืองจันทบุรีเป็นเมืองโบราณมีชื่อปรากฏในพงศาวดารมาแต่แรกสร้างกรุงศรีอยุธยา 
		จึงอาจสันนิษฐานได้ว่าเมืองแกลงซึ่งเป็นเมืองขึ้นเมืองหนึ่ง 
		ก็น่าจะมีมาช้านานแล้วเช่นกัน 
		
		  
		
		
		ที่ตั้งของเมือง 
		
		
		เดิมเมืองแกลงตั้งอยู่ที่บ้านแหลมสน ขณะนั้นมีกองทหารเรือตั้งอยู่ ต่อมาปี 
		พ.ศ.
		๒๔๔๐ กองทหารเรือได้ยุบเลิกไปตั้งอยู่ที่อื่น  
		ทางราชการจึงได้ย้ายตัวเมืองจากบ้านแหลมสนไปอยู่ที่บ้านหนองโพรง 
		- แหลมเมือง ตำบลปากน้ำประแสร์ 
		แล้วจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านทางเกวียน 
		ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของวัดโพธิ์ทองปัจจุบัน ประมาณ ๒ กม.
		เหตุที่ย้ายที่ตั้งเมืองบ่อยๆ 
		ก็คงเป็นไปตามแบบการปกครองโบราณ 
		คือเมื่อใครได้เป็นเจ้าเมืองก็ย้ายที่ทำการไปไว้ที่บ้านของตน 
		เรื่องนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ-กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายไว้ในหนังสือเรื่องเทศาภิบาลว่า 
		
		"ตามหัวเมืองในสมัยนั้นปลาดอย่างหนึ่งที่ไม่มีศาลารัฐบาลตั้งประจำสำหรับว่าราชการอย่างทุกวันนี้ 
		เจ้าเมืองตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ไหนก็ว่าราชการบ้านเมืองที่บ้านของตนเหมือนอย่างเสนาบดีเจ้ากระทรวงในราชธานีว่าราชการที่บ้านตามประเพณีเดิม 
		บ้านเจ้าเมืองผิดกับบ้านของคนอื่นเพียงที่เรียกว่า "จวน"
		เพราะมีศาลาโถงปลูกไว้นอกรั้วข้างบ้านหลังหนึ่งเรียกว่า
		"ศาลากลาง" 
		เป็นที่สำหรับประชุมกรรมการเวลามีการงาน เช่น รับท้องตราหรือปรึกษาราชการ 
		เป็นต้น เวลาไม่มีการงานก็ใช้ศาลากลางเป็นศาลาชำระความ 
		เห็นได้ว่าศาลากลางก็เป็นเค้าเดียวกับศาลาลูกขุนในราชธานีนั่นเอง 
		เจ้าเมืองตั้งสร้างจวนและศาลากลางด้วยทุนของตนเอง 
		แม้แผ่นดินซึ่งจะสร้างจวนถ้ามิได้อยู่ในเมืองมีปราการ เช่น 
		เมืองพิษณุโลกเป็นต้น เจ้าเมืองก็ต้องหาชื้อที่ดินเหมือนกับคนทั้งหลาย 
		จวนกับศาลากลางจึงเป็นทรัพย์ส่วนตัวของเจ้าเมือง 
		เมื่อสิ้นตัวเจ้าเมืองก็เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลาน ใครได้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ 
		ถ้ามิได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้าเมืองคนเก่าก็ต้องหาที่สร้างจวนและศาลากลางขึ้นใหม่ตามกำลังที่จะสร้างได้ 
		บางทีก็ย้ายไปสร้างห่างจากที่เดิมฟากแม่น้ำหรือแม้จนต่างตำบลก็มีจวนเจ้าเมืองไปตั้งอยู่ที่ไหนก็ย้ายที่ว่าราชการไปอยู่ที่นั่นชั่วสมัยของเจ้าเมืองคนนั้น 
		ตามหัวเมืองจึงไม่มีที่ว่าราชการเมืองตั้งประจำอยู่แห่งใดแห่งหนึ่ง 
		เป็นนิจเหมือนอย่างทุกวัน"  
		
		
		เมืองแกลงคงจะมีศาลาสำหรับพิจารณาตัดสินคดีซึ่งเกิดขึ้นภายในเมือง 
		ต่อมาราวปี พ.ศ.
		๒๔๕๐ ทางราชการได้สั่งยุบเมืองแกลงลงเป็นอำเภอเรียกว่า
		"อำเภอแกลง" 
		และย้ายจากบ้านทางเกวียนมาอยู่ในปัจจุบัน 
		ศาลเมืองแกลงจึงพลอยถูกยุบลงด้วยนั่นคือ 
		ทางราชการได้ยุบสภาพจากเมืองจัตวาลงมาตั้งเป็นอำเภอ มีหลวงแกลงแกล้วกล้า
		(ศรี บุญศิริ) 
		เป็นนายอำเภอคนแรก จนถึงปี พ.ศ.
		๒๔๕๓ พระคำแหงพลล้าน (ชื่อ คชภูมิ)
		นายอำเภอคนที่สอง 
		จึงได้ย้ายที่ตั้งอำเภอจากบ้านทางเกวียนมาตั้งอยู่ที่บ้านสามย่าน 
		ตำบลทางเกวียนซึ่งมีสภาพเหมาะสมที่จะขยายตัวเมืองได้อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ 
		
		 การโอนเมืองแกลง 
		
		ในปี พ.ศ.
		๒๔๕๑ ได้โอนอำเภอแกลงไปขึ้นกับจังหวัดระยอง 
		โดยมีแจ้งความของกระทรวงมหาดไทยลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๒๕ 
		ลงวันที่ ๒๘ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๗ หน้า ๔๐๗ ว่า "ด้วยมีพระบรมราชโองการตรัสเหนือเกล้าฯ 
		สั่งว่าอำเภอแกลงขึ้นเมืองจันทบุรี ยากจะตรวจตราให้ทั่วถึงได้ 
		ทรงพระราชดำริว่าควรจะโอนอำเภอแกลงไปขึ้นเมืองระยองเพราะเป็นท้องที่อยู่ใกล้ 
		จะเป็นการสะดวกในการบังคับบัญชาและตรวจตรายิ่งขึ้น 
		จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โอนอำเภอแกลงไปขึ้นกับเมืองระยองต่อไป"
		 
		
		(แจ้งความมา 
		ณ วันที่ ๒๔ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๗) 
		
		
		ด้วยเหตุนี้อำเภอแกลงจึงมาสังกัดกับจังหวัดระยองตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ 
		เป็นต้นมา 
		
		 ที่มา
		: 
		ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดระยอง. 
		ระยอง : ธนชาติการพิมพ์
		,๒๕๒๕.   |