วักมโนภิรมย์
วัดมโนภิรมย์
ห
รือ
วัด บ้านชะโนด สร้างขึ้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเมีย พ.ศ. 2230
โดยมีท้าวคำสิงห์ และญาติที่ย้ายมาจากบ้านท่าสะโนประมาณ 30 ครอบครัวเศษ
เป็นผู้สร้าง พร้อมกับการตั้งบ้านชะโนดและเมืองมุกดาหาร ณ ป่าชะโนด ใต้ปากห้วยชะโนด
ครั้งแรกเรียกชื่อว่า วัดบ้านชะโนด ภายหลังใช้ชื่อว่า
วัดมโนภิรมย์
บ้านชะโนดและวัดมโนภิรมย์ สร้างขึ้นตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย
คือรัชสมัยของกษัตริย์องค์ที่ 28 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ซึ่งตามประวัติศาสตร์ถือว่า เป็นยุคทองของวรรณกรรม
(สมเด็จพระนารายณ์เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2231)
แรกเริ่มสร้างวัดใหม่ๆๆ นั้นอยู่ในระยะที่ตั้งตัวใหม่ เสนาสนะคงมีแต่กุฏิ
และศาลาโรงธรรมและรั้ววัดเท่านั้น วัดมโนภิรมย์มาเจริญเป็นปึกแผ่นมั่นคงเมื่อพ.ศ.
2269 ในขณะที่บ้านชะโนดมีจำนวนครัวเรือนและประชากรเพิ่มขึ้น
มีการส่งบุตรหลานเข้าบวชเรียนศึกษาพระธรรมวินันมีนักปราชญ์ค้นหาคัมภีร์ตำราตลอดพระไตรปิฏกมาไว้ให้ภิกษุสามเณรได้ค้นคว้าศึกษาท่านหอ
และพระครูกัสสปะ ได้ศึกษาค้นคว้า และบำเพ็ญตนเป็นที่ ี่ปรากฏเลื่องลือจึงโปรดให้เข้าเฝ้าและกราบทูลเป็นที่พอพระราชหฤทัยครั้นภิกษุทั้งสองถวายพระพรลากลับจึงโปรดเกล้า
พระราชทานวัสดุก่อสร้าง มีอิฐ ปูน เหล็ก แก้ว ทอง และสี
พร้อมด้วยนายช่างสถาปัตยกรรมจากราชสำนัก 3 คน คือ โชติ
,
ขะ
,
โมข ลงแพ
ล่องจากนครเวียงจันทน์มาสร้างโบสถ์ และพัทธสีมาวัดมโนภิรมย์ บ้านชะโนด
พ.ศ.2282
ท้าวเมืองโครกได้นำบุตรชายชื่อหอและหลานชายชื่อกัสสปะเข้าบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดมโนภิรมย์เมื่อกุลบุตรคู่นี้อายุ
31 ปี บวชเรียนปฏิบัติและศึกษาพระธรรมวินัย คัมภีร์และพระไตรปิฏก
มีความรู้แฉกฉานจนครบอายุ 20 ปี จึงมีอุปสมบท เป็นภิกษุอยู่ที่วัดเดิมต่อไป อีก
1 ปี บิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์เห็นว่าพระภิกษุทั้งสองรูปเป็นผู้ประกอบ
ด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีจริยวัตรและคุณธรรมที่สูงส่งและจะเป็นที่พึ่งสืบสกุลได้
จึงพร้อมใจกันส่งไปศึกษาต่อที่นครเวียงจันทน์ปฏิบัติธรรมและศึกษาอยู่6ปีพระภิกษุทั้งสองรูปก็สอบไล่ได้บาลีชั้นสูงสุดในสมัยนั้น
และได้รับสมณศักดิ์พระอุปัชฌาย์ 1 รูป คือ ท่าน หอ เป็นพระครู 1 รูปคือ พระครูกัสสปะโบสถ์วัดมโนภิรมย์
พร้อมด้วยพัทธสีมาสร้างขึ้นเมื่อวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีมะเส็ง
พุทธศักราช 2296 ผู้นำในการสร้างคือท่าน หอ พระครูกัสสปะ จารย์โชติ จารย์ขะ และจารย์โมข
มีชาวบ้านชะโนดและบ้านท่าสะโนเป็นเจ้าภาพและแรงงานซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการย้ายบ้านออกไปการก่อสร้างโบสถ์
พัทธสีมา ส่วนประกอบ ลวดลาย รั้ววัด เสร็จเรียบร้อยภายใน3 ปี คือ พ.ศ. 2299

ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมที่ควรหยิบยกขึ้นมากล่าวถึง คือแบบอย่าง เป็นแบบ เขมร
ไทย ลาว
ผสมผสานกัน แต่ทุกอย่างประณีตอ่อนช้อยงดงาม
(1) โบสถ์
หลังชั้นเดียว หน้าจั่วแหลมชันและงอน
ซุ้มประตูใหญ่หน้าบันแกะสลักลวดลายวิจิตรโดดเด่น หาดูได้ยาก
เสาสลักลวดลายอ่อนช้อยรดด้วยลายนกทอง ภายในพระประธานเป็นอิฐปูนแต่เด่นสง่า
สมสัดส่วน ฐานลดหลั่นงดงาม รอบฐานมีรูปสิงห์หมอบ
ตรงบันไดทุกช่องเป็นรูปจระเข้คู่ ตรงบันไดใหญ่หน้าบันเป็นคชสีห์คู่ขนาดเท่าม้า
แสดงถึงความลึกซึ้งเก่าแก่
(2) พัทธสีมา
ศิลปะคล้ายๆ แบบขอ พระประธาน เป็นพระกัจจาย
(3)
รั้ววัดและซุ้มประตูวัด เป็นไม้เนื้อแข็ง กลึงเป็นรูปบัวตูมฝังเรียงกัน
ซุ้มประตูทำเป็นเสาใหญ่เท่าต้นตาลแต่กลึงเป็นรูปบัวตูม
มีรูปปั้นด้วยอิฐปูนเป็นยามเฝ้าประตูทุกช่อง น่าเกรงขามมากมีบันไดท่าน้ำ
ทำเป็นบันไดอิฐปูนลดหลั่นลงตลิ่ง มีรูปหมาเป็นยามนั่งเฝ้า 1 คู่
ตัวโตขนาดเท่าเก้ง แต่สวยงามมาก
(4)
พระองค์ตื้อ เป็นพระทองสัมฤทธิ์ หล่อขึ้นในสมัยที่พระครูกัสสปะเป็นเจ้าอาวาสแทนท่านหอ
แต่ไม่ทราบวัน เดือน ปี ที่แน่นอน
(5)
พระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ในเวลาใกล้เคียงกัน
เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์และงดงามมาก
(6)
พระพุทธรูปปางห้ามญาติ สมัยศรีวิชัย
(7) พระงา
เป็นพระพุทธรูปงาช้างที่แกะสลักโดยพระอุปัชฌาย์บุนันทวโร พระเจ้า 8 พระองค์

ความเป็นมา
สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง
คือไม่เที่ยงแท้แน่นอนมีเกิดย่อมมีดับมีเจริญย่อมมีเสื่อมฉะนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติก็ดี
สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมากก็ดี ย่อมหลีกลี้หนีอนิจจังไปไม่พ้น
ดังได้กล่าวในประวัติบ้านแล้วว่า บ้านชะโนดได้รับมหันตภัยจากอัคคีภัยครั้งใหญ่อันเป็นโศกนาฏกรรมและความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน
คือ เมื่อวันอังคาร แรม 8 ค่ำ เดือน 4 ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 28 เดือน มีนาคม
พ.ศ. 2447 เกิดอัคคีภัย ไฟไหม้บ้านเรือน วัดวาอาราม
วอดวายเสียหายอย่างประเมินค่ามิได้ โดยเฉพาะวัดมโนภิรมย์อันมีกุฏิ วิหาร พัทธสีมา
ศาลาการเปรียญ ตู้พระไตรปิฏก พระพุทธรูป เรือแข่ง รั้ววัด ตลอด ฆ้อง กลอง ระฆัง
ต้องกลายเป็นเถ้าถ่านทั้งสิ้นพ.ศ.2448 ศรีสุราช
และชาวบ้านได้ไปนิมนต์พระบุ นันทวโร จากบ้านท่าสะโนซึ่งเป็นบ้านเดิม
มาเป็นผู้นำซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ ท่านได้นำชาวบ้านซ่อมแซมวัดมโนภิรมย์ อยู่ 6 ปี
จึงสำเร็จเรียบร้อยทุกอย่าง คือ กุฏิ วิหาร พัทธสีม ศาลา รั้ววัด
แม้กระทั่งเรือแข่ง
ทุกอย่างที่ซ่อมแซมท่านเป็นผู้ที่ซึ้งในศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมมาก เนื่องจาก
ท่านเคยมาศึกษาและปฏิบัติอยู่ก่อนแล้วในประการหนึ่ง
ประกอบกับท่านมีความพากเพียรพยายามเป็นที่ตั้ง
การปฏิสังขรณ์จึงสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี และคงไว้ซึ่งศิลปะดั้งเดิม
แม้กระนั้นบางสิ่งบางศิลปะมิอาจจะกลับฟื้นคืนมาดังเดิมได้ คงเป็นรอยจารึก
และภาพแห่งความอาลัยในศิลปะดั้งเดิมเมื่อพบเห็น