www.dooasia.com >
เมืองไทยของเรา >
เรื่องของไทยในอดีต
ก่อนอยุธยา
สมัยอยุธยา(๑)
สมัยอยุธยา(๒)
สมัยธนบุรี
รัชสมัย ร.๑
รัชสมัย ร.๒
รัชสมัย ร.๓
รัชสมัย ร.๔
รัชสมัย ร.๕
รัชสมัย ร.๖
รัชสมัย ร.๗
รัชสมัย ร.๘
สมัยปัจจุบัน
๙ ตุลาคม
๒๑๙๙
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปราบดาภิเษก เสวยราชสมบัติ
๒๒
สิงหาคม ๒๒๐๕
สังฆราชแห่งเบริตกับบาทหลวงอีก ๒ คน ได้เดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยา นับเป็นชาวฝรั่งเศสพวกแรกที่เดินทางมายังประเทศไทย
๒๔
ธันวาคม ๒๒๒๓
สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงจัดคณะราชทูตไทยคณะแรก นำพระราชสาส์นไปเจริญทางพระราชไมตรี
ณ ประเทศฝรั่งเศส และสันตปาปา ณ กรุงโรม คือ ออกญาพิพัฒน์ราชไมตรี
กับผู้ช่วยอีก ๒ คน คือ หลวงศรีวิสารสุนทร
กับ
ขุนนางวิชัย
และคณะอีกกว่า ๒๐ คน โดยมีบาดหลวงเกยเมอเป็นล่าม และเป็นผู้นำทางการเดินทางครั้งนี้
ออกเดินทางจากกรุงศรีอยุธยา และได้สูญหายไประหว่างทาง ไปไม่ถึงประเทศฝรั่งเศส
เนื่องจากเรือถูกพายุ อัปปางบริเวณเกาะมาดามัสกัส
พ.ศ.๒๒๒๖
สมเด็จพระนารายณ์ ฯ โปรดเกล้า ฯ ให้จัดคณะทูตเดินทางไปฝรั่งเศส แต่มิได้จัดเป็นทางการ
เพราะมุ่งหมายให้ไปสืบสาวดูทูตคณะแรกเท่านั้น
๒๖
กันยายน ๒๒๒๗
ราชทูตไทยชุดที่ ๒ ได้เข้าเฝ้า พระเจ้าชาร์ลที่ 2 แห่งอังกฤษ นับเป็นทูตคณะแรกที่ไปขอเจริญสัมพันธไมตรี
กับราชสำนักอังกฤษ
๒๕
มกราคม ๒๒๒๗
คณะทูตไทยคณะที่ ๒ ออกเดินทางจากกรุงศรีอยุธยา ไปยังประเทศฝรั่งเศส (คณะแรกสูญหายในระหว่างเดินทาง)
พ.ศ.๒๒๒๘
สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงจัดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี
(ปาน) เป็นหัวหน้าคณะราชทูต พระวิสูตรสุนทร
เป็นอุปทูต หลวงกัลยาณไมตรี
เป็นเลขานุการเอก
ขุนศรีวิศาลวาจา
เป็นนายเวร
เดินทางไปฝรั่งเศส นำพระราชสาส์นไปถวายพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔
๒๓
กันยายน ๒๒๒๘
คณะราชทูตฝรั่งเศส ประกอบด้วย เชวาเลีย เดอโชมองต์ ราชทูตและบาทหลวงฟรังซัวส์
ดิโมเลออง เดอชัวสี อุปทูต เดินทางมาถึงไทยโดยทางเรือ ๒ ลำ เชิญพระราชสาส์นกับเครื่องราชบรรณาการ
จากพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มาเจริญทางพระราชไมตรียังสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พยายามชักชวนให้พระองค์เปลี่ยนศาสนา
แต่ไม่สำเร็จ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ตกลงกันได้ด้วยดี
๑๘
ตุลาคม ๒๒๒๘
เชอวาเลียร์ เดอโชมองต์ ถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แด่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ลพบุรี
๒๒
ธันวาคม ๒๒๒๘
ราชทูตไทย ชุดที่ ๓ มีออกพระวิสูตรสุนทร คือโกษาปานเป็นราชทูต ออกเดินทางไปฝรั่งเศสได้เฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่
๑๔ ที่พระราชวังแวร์ซายส์ เมื่อ ๑ กันยายน ๒๒๒๙ เดินทางกลับถึงปากน้ำเจ้าพระยาเมื่อ
พ.ศ. ๒๒๓๐
๒๘
มิถุนายน ๒๒๒๙
ออกพระวิสูตรสุนทร ได้เป็นราชทูตออกไปเมืองฝรั่งเศส เดินทางถึงเมืองเบรสต์
นำเด็กไทยไปด้วย ๑๒ คน
๑๔
สิงหาคม ๒๒๒๙
วันที่คณะทูตไทยถวายพระราชสาส์น แด่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ณ พระราชวังแวซายส์
๑
กันยายน ๒๒๒๙
คณะทูตไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ฯ มีออกพระวิสูตรสุนทร (ปาน) เป็นหัวหน้าคณะ
เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการ แด่พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ อย่างเป็นทางการ
ณ พระราชวังแวร์ซายส์ นับเป็นคณะทูตไทยชุดที่ ๓ ที่เดินทางไปฝรั่งเศส
๑
มีนาคม ๒๒๓๐
ออกพระวิสูตรสุนทร ได้เป็น ราชทูตออกไปเมืองฝรั่งเศส เดินทางกลับถึงประเทศไทย
ฝรั่งเศสได้ส่งกองทหาร ๖๓๖ คน ในบังคับนายพลเดฟาร์ช มาประจำที่ป้อมเมืองมะริด
ตามคำร้องขอของฟอลคอน และมีหัวหน้าทูตเข้ามา ๒ คน คือ เดอลาลูแบ และ คลอดเซเบแต้ดูบูลเย
๑๑
สิงหาคม ๒๒๓๐
สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงประกาศสงครามกับบริษัทอินเดียของอังกฤษ
๒๗
กันยายน ๒๒๓๐
คณะราชทูตไทยมีออกพระวิสูตรสุนทร (ปาน) เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยคณะราชทูตฝรั่งเศส
ชุดที่สองมี เดอลาลูแบร์ เป็นหัวหน้า มาถึงประเทศไทย
๑๑ กรกฎาคม
๒๒๓๑
สมเด็จพระนารายณ์ ฯ เสด็จสวรรคต ที่ลพบุรี พระราชสมภพ พ.ศ. ๒๑๗๕ เปิดอนุสาวรีย์ที่ลพบุรี
๒๕๐๙ พระองค์เป็นโอรสพระเจ้าปราสาททอง ครองราชย์อยู่ ๓๑ ปี ๙ เดือน ๒ วัน
๒๓
ธันวาคม ๒๒๓๑
ราชทูตไทยชุดที่ ๔ ได้เข้าเฝ้า สันตะปาปา อินโดเนเซนต์ที่ ๑๑ ณ กรุงโรม
พ.ศ.๒๒๓๔
เขมรได้ส่งทูตนำช้างเผือกเชือกหนึ่งเข้ามาถวาย เข้ามาอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร
พ.ศ.๒๒๓๘
พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต ให้ราชทูตนำพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวาย
กับขอกองทัพไทย ไปช่วยต้านทานการรุกรานของกองทัพจากหลวงพระบาง พระองค์โปรดให้จัดทัพไปช่วย
แต่ไม่ได้มีการรบ เพียงแต่ช่วยไกล่เกลี่ยจนทั้งสองเมืองเป็นมิตรกัน
พ.ศ.๒๒๔๕
เกิดความวุ่นวายภายในเขมร
เจ้าเมืองละแวก
ขอมาอยู่ในพระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ สมเด็จพระเจ้าท้ายสระจึงให้ส่งกองทัพไปถึงเมืองอุดรมีชัย
ราชธานีเขมร ทำให้เขมรมีฐานะเป็นประเทศราชของไทยตามเดิม
๖
ตุลาคม ๒๒๔๖
พระเพทราชา เสด็จสวรรคต
๑๗
เมษายน ๒๒๗๗
วันพระราชสมภพ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (เปิดอนุสาวรีย์ที่วงเวียนใหญ่ ๒๔๙๗
) ทรงกู้เอกราชได้หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าไปเพียง ๗ เดือน และได้ทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
ได้ทรงดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การศึกษา การศาสนา และศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ เป็นอันมาก
๒๐
มีนาคม ๒๒๗๙
วันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ทรงพระราชสมภพ ณ ที่ปัจจุบันคือ วัดสุวรรณดาราราม อยุธยา
๘
กันยายน ๒๒๘๖
วันประสูติ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่
๑ ครั้งสงคราม ๙ ทัพ ได้รับโปรดเกล้า ฯ เป็นจอมทัพไปตั้งรับพม่า ที่ตำบลลาดหญ้า
จังหวัดกาญจนบุรี จนพม่าแตกกลับไป ทรงดำรงอิสริยศนี้ นาน ๒๑ ปี ระหว่าง ๒๓๒๕
- ๒๓๔๖ (สวรรคต ๓ พฤศจิกายน ๒๓๔๖) เปิดดอนุสาวรีย์ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๒
พ.ศ.๒๒๙๖
พระเจ้ากีรติสิริราชสิงห์ กษัตริย์ลังกา ทราบว่า พระพุทธศาสนาในกรุงศรีอยุธยารุ่งเรืองมาก
จึงส่งทูตมาขอพะมหาเถระและคณะสงฆ์ไปช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา ซึ่งเสื่อมโทรมไประยะหนึ่ง
สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ จึงโปรดให้ส่งคณะทูตไปลังกา เพื่อประกอบพิธีบรรพชาอุปสมบทให้กับชาวลังกาและได้ไปตั้งนิกายสยามวงศ์ขึ้นในลังกาและเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๓
๑
มิถุนายน ๒๓๐๑
เจ้าฟ้าอุทุมพร (กรมขุนพรพินิต) กษัตริย์อยุธยาองค์ที่ ๓๒ เสวยราชย์ได้ ๒
เดือนเศษ ได้ถวายราชสมบัติให้กับเจ้าฟ้าเอกทัศน์ (กรมขุนอนุรักขมนตรี) พระเชษฐา
ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา เป็นเวลา ๙ ปี ทั้งสองพระองค์เป็นโอรสพระเจ้าบรมโกศ
กษัตริย์อยุธยาองค์ที่ ๓๑ ก่อนเสด็จสวรรคตได้ทรงตั้งเจ้าฟ้าอุทุมพรเป็น รัชทายาท
ไม่ตั้งเจ้าฟ้าเอกทัศน์ผู้พี่ ซึ่งทรงเห็นว่าโฉดเขลา จะรักษาบ้านเมืองไว้ไม่ได้
พ.ศ.๒๓๐๓
พม่าส่งกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา
พ.ศ.๒๓๐๗
พระเจ้ามังระ โอรสพระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา
ได้ยกกองทัพเข้ามาทางเมืองทะวาย และตีหัวเมืองรายทางมาตามลำดับ แล้วเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา
๒๐ มิถุนายน
๒๓๐๙
วันค่ายบางระจันแตก
๓
มกราคม ๒๓๐๙
สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช ครั้งยังเป็นพระยาวชิรปราการ นำกำลัง ๕๐๐ คน ตีฝ่ากองทหารพม่า
ออกจากกรุงศรีอยุธยาไปทางทิศตะวันออก
๔
มกราคม ๒๓๐๙
วันวีรกรรมบ้านพรานนกของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ฯ ขณะทรงเป็นพระยาวชิรปราการ
ทรงสู้รบกับทหารม้าของพม่าที่บ้านพรานนก (อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
ได้ชัยชนะอย่างงดงาม
๗ เมษายน
๒๓๑๐
กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ครั้งที่ ๒ ในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ หลังจากพม่าล้อมกรุงอยู่
๑ ปี ๒ เดือน
|