ท่องเที่ยว || เพิ่มข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว|| ดูดวงตำราไทย|| อ่านบทละคร|| เกมส์คลายเครียด|| วิทยุออนไลน์ || ดูทีวี|| ท็อปเชียงใหม่ || รถตู้เชียงใหม่
  dooasia : ดูเอเซีย   รวมเว็บ   บอร์ด     เรื่องน่ารู้ของสยาม   สิ่งน่าสนใจ  
 
สำหรับนักท่องเที่ยว
ตรวจสอบระยะทาง
แผนที่ 77 จังหวัด
คู่มือ 77 จังหวัด(PDF)
จองโรงแรม
ข้อมูลโรงแรม
เส้นทางท่องเที่ยว(PDF)
ข้อมูลวีซ่า
จองตั๋วเครื่องบิน
จองตั๋วรถทัวร์
ทัวร์ต่างประเทศ
รถเช่า
197 ประเทศทั่วโลก
แลกเปลี่ยนเงินสากล
ซื้อหนังสือท่องเทียว
dooasia.com แนะนำ
  เที่ยวหลากสไตล์
  มหัศจรรย์ไทยเแลนด์
  เส้นทางความสุข
  ขับรถเที่ยวตลอน
  เที่ยวทั่วไทย 77 จังหวัด
  อุทยานแห่งชาติในไทย
  วันหยุดวันสำคัญไทย-เทศ
  ศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  ไก่ชนไทย
  พระเครื่องเมืองไทย
 
 
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเกาหลี
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาว
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศจีน
 
เที่ยวภาคเหนือ กำแพงเพชร : เชียงราย : เชียงใหม่ : ตาก : นครสวรรค์ : น่าน : พะเยา : พิจิตร : พิษณุโลก : เพชรบูรณ์ : แพร่ : แม่ฮ่องสอน : ลำปาง : ลำพูน : สุโขทัย : อุตรดิตถ์ : อุทัยธานี
  เที่ยวภาคอีสาน กาฬสินธุ์ : ขอนแก่น : ชัยภูมิ : นครพนม : นครราชสีมา(โคราช): บุรีรัมย์ : มหาสารคาม : มุกดาหาร : ยโสธร : ร้อยเอ็ด : เลย : ศรีสะเกษ : สกลนคร : สุรินทร์ : หนองคาย : หนองบัวลำภู : อำนาจเจริญ : อุดรธานี : อุบลราชธานี : บึงกาฬ(จังหวัดที่ 77)
  เที่ยวภาคกลาง กรุงเทพฯ : กาญจนบุรี : ฉะเชิงเทรา : ชัยนาท : นครนายก : นครปฐม : นนทบุรี : ปทุมธานี : ประจวบคีรีขันธ์ : ปราจีนบุรี : พระนครศรีอยุธยา : เพชรบุรี : ราชบุรี : ลพบุรี : สมุทรปราการ : สมุทรสาคร : สมุทรสงคราม : สระแก้ว : สระบุรี : สิงห์บุรี : สุพรรณบุรี : อ่างทอง
  เที่ยวภาคตะวันออก จันทบุรี : ชลบุรี : ตราด : ระยอง

  เที่ยวภาคใต้ กระบี่ : ชุมพร : ตรัง : นครศรีธรรมราช : นราธิวาส : ปัตตานี : พัทลุง : พังงา : ภูเก็ต : ยะลา : ระนอง : สงขลา : สตูล : สุราษฎร์ธานี



๑. ปัญหา
           การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของประเทศกัมพูชาจะมีผลกระทบต่อเขตแดนไทยตามกลไกของการเป็นมรดกโลก
๒. ข้อเท็จจริง
           ๒.๑ ก่อนเกิดคดีปราสาทพระวิหาร
                   ๒.๑.๑ ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนเขาพระวิหารในเทือกเขาพนมดงรัก อันเป็นเส้นแบ่งเขตแดนไทย - กัมพูชา นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๔๗ (ค.ศ.๑๙๐๔) โดยหนังสือสัญญาสยาม – ฝรั่งเศส วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ.๑๒๒ (ค.ศ.๑๙๐๔ หรือ พ.ศ.๒๔๔๗) สำหรับเขตแดนไทย (สยาม) กับกัมพูชา ปรากฏอยู่ในข้อ ๑ ของสนธิสัญญา มีความว่า
                   "เขตร์แดนในระหว่างกรุงสยามกับกรุงกัมพูชานั้นตั้งต้นแต่ปากคลองสดุงโรลูออส ข้างฝั่งซ้าย ทะเลสาปเป็นเส้นเขตร์แดนตรงทิศตะวันออกไปจนบรรจบถึงคลองกะพงจาม ตั้งแต่นี้ต่อไปเขตร์แดนเป็นเส้นตรงทิศเหนือขึ้นไปจนบรรจบถึงภูเขาพนมดงรัก (คือ ภูเขาบรรทัด) ต่อนั้นไปเขตร์แดนเนื่องไปตามแนวยอดภูเขาปันน้ำ ในระหว่างดินแดนน้ำตกน้ำแสนแลดินแดนน้ำตกแม่โขง ฝ่ายหนึ่งกับดินแดนน้ำตกน้ำมูนอีกฝ่ายหนึ่งจนบรรจบถึงภูเขาผาด่าง แล้วต่อเนื่องไปข้างทิศตะวันออกตามแนวยอดภูเขานี้จนบรรจบถึงแม่โขง ตั้งแต่บรรจบนี้ขึ้นไป แม่น้ำโขงเป็นเขตแดนของกรุงสยามตามความข้อ ๑ ในหนังสือสัญญาใหม่ ณ วันที่ ๓ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ "
                   ๒.๑.๒ ในช่วงนี้ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดน ระหว่างสยาม – ฝรั่งเศส ทำแผนที่ปักปันเขตแดนขึ้นด้วยมาตราส่วน ๑ : ๒๐๐.๐๐๐ แสดงเส้นเขตแดนตามสนธิสัญญาปี ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) ไว้ในตอนทิวเขาหลวงพระบาง มีแผนที่ ๕ ระวาง ตอนทิวเขาพนมดงรัก มีแผนที่ ๖ ระวาง และเขตแดนตอนล่าง มีแผนที่ ๓ ระวาง เป็นการเขียนไปตามเขตแดนของเมืองเสียมราฐกับเมืองพระตะบองแล้วตัดเอาจังหวัดตราดไปเป็นของฝรั่งเศส
                   ๒.๑.๓ เพื่อแลกกับอำนาจศาลเมืองด่านซ้ายและจังหวัดตราด ไทย (สยาม) ได้ยอมยกเมือง เสียมราฐกับพระตะบองให้กับฝรั่งเศส จึงได้มีการทำหนังสือสัญญา ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕ (ค.ศ.๑๙๐๗ หรือ พ.ศ.๒๔๕๐) เขตแดนไทย (สยาม) กับกัมพูชา ปรากฎอยู่ในข้อ ๑ ของสนธิสัญญา มีความว่า
                   " เขตร์แดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสนั้นตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูตเปนหลักแล้วตั้งแต่นี้ต่อไป ทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวานแลเปนที่เข้าใจกันชัดเจนด้วยว่า แม้จะมีเหตุการณ์อย่างไรๆก็ดี ฟากไหล่เขาเหล่านี้ ข้างทิศตะวันออกรวมทั้งที่ลุ่มน้ำคลองเกาะปอด้วยนั้นต้องเป็นดินแดนฝ่ายอินโดจีนของฝรั่งเศสแล้ว เขตร์แดนต่อไปตามสันเขาพนมกระวานทางทิศเหนือ จนถึงเขาพนมทม ซึ่งเป็นเขาใหญ่ปันน้ำทั้งหลาย ระหว่างลำน้ำที่ไหลตกอ่าวสยามฝ่ายหนึ่งกับลำน้ำที่ไหลตกทเลสาบอีกฝ่ายหนึ่ง ตั้งแต่เขาพนมทมนี้ เขตร์แดนไปตามทิศพายัพก่อนแล้วไปตามทิศเหนือตามเขตร์แดนที่เปนอยู่ในปัจจุบัน ระหว่างเมืองพระตะบองฝ่ายหนึ่งกับเมืองจันทบุรี แลเมืองตราษอีกฝ่ายหนึ่งแล้วต่อไปจนถึงเขตร์แดนที่ข้ามลำน้ำใส ตั้งแต่นี้ต่อไปตามลำน้ำนี้จนถึงปากที่ต่อจากลำน้ำศรีโสภณ แลตามลำน้ำศรีโสภณต่อไปจนถึงที่แห่งหนึ่งในลำน้ำนี้ ประมาณสิบกิโลเมตร ฤาสองร้อยห้าสิบเส้นใต้เมืองอารัญ ตั้งแต่นี้ตีเส้นตรงไปถึงเขาแดงแรกตรงระหว่างกลางทางช่องเขาทั้ง ๒ ที่เรียกว่า ช่องตะโก กับช่องสเมด ได้เปนที่เข้าใจกันว่า เส้นเขตร์แดนที่กล่าวมาที่สุดนี้จะต้องปักปันกันให้มีทางเดินตรงในระหว่างเมืองอารัญ กับช่องตะโกไว้ในเขตร์กรุงสยาม ตั้งแต่ที่เขาแดงแรกที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เขตร์แดนต่อไปตามปันน้ำที่ตกทเลสาบแลแม่โขงฝ่ายหนึ่งกับที่น้ำมูนอีกฝ่ายหนึ่งแล้วต่อไปจนตกลงลำแม่น้ำโขงใต้ปากมูน ตรงปากห้วยดอน ตามเส้นเขตร์แดนที่กรรมการปักปันแดนครั้งก่อน ได้ตกลงกันแล้ว เมื่อวันที่๑๘ มกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๕ คฤสตศักราช ๑๙๐๗ ได้เขียนเส้นพรมแดนประเมินไว้อย่างหนึ่งในแผนที่ตามที่กล่าวในข้อนี้ติดข้องไว้ในสัญญานี้ด้วย "
                   ๒.๑.๔ คณะกรรมการปักปันก็ได้เขียนเส้นเขตแดนใหม่บนแผนที่ทั้ง ๘ ฉบับ ส่วนอีก ๓ ฉบับ ยังคงปล่อยไว้เช่นเดิม แผนที่ทั้ง ๑๑ ฉบับ พิมพ์เสร็จในปี ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๑) และได้ส่งมาให้ไทย ๕๐ ชุด
                   ๒.๑.๕ สนธิสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวแล้ว ระบุไว้ว่าเส้นเขตแดนไปตามสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรักแต่ตรงบริเวณที่ตั้งปราสาทพระวิหาร และเส้นเขตแดนระวาง DANGREK กลับเขียนผิดสภาพความเป็นจริง ตามสภาพภูมิศาสตร์กันเอาส่วนที่เป็นที่ตั้งปราสาทพระวิหารไปไว้ในเขตอินโดจีนของฝรั่งเศสซึ่งที่ถูกต้องแล้ว จะต้องอยู่ในเขตไทย
                   ๒.๑.๖ ฝ่ายไทยไม่เคยสังเกตว่าแผนที่ระว่างดังกล่าวนั้น เขียนไปอย่างไรแต่ไทยก็เข้าครอบครองเขาพระวิหารตลอดมา จังหวัดศรีสะเกษได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของไทย เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๘ (ค.ศ.๑๙๒๕)
                   ๒.๑.๗ ในปี พ.ศ.๒๔๘๓ จากกรณีพิพาทอินโดจีนไทยได้ดินแดนมณฑลบูรพา ที่เคยเสียไปในรัชกาลที่ ๕ กลับคืนมาตามสนธิสัญญาโตเกียว แต่หลังสงครามมหาเอเชียบูรพาไทยต้องคืนดินแดนดังกล่าวให้ฝรั่งเศสไปแต่ยังคงครอบครองปราสาทพระวิหารมาโดยตลอด แม้ฝรั่งเศสจะประท้วงไทยหลายครั้ง ในปี พ.ศ.๒๔๙๒
           ๒.๒ คดีปราสาทพระวิหาร
                   ๒.๒.๑ ในปี พ.ศ.๒๕๐๑ รัฐบาลได้รับรายงานจากสถานทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญว่าฝ่ายกัมพูชากำลังรวบรวมหลักฐานที่จะฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่าไทยได้ยึดปราสาทพระวิหารของกัมพูชา
                   ๒.๒.๒ ฝ่ายไทยคณะรัฐมนตรีได้ตั้งคณะกรรมการเตรียมเรื่องพระวิหาร ตามกฎหมาย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรองประธานกรรมการ คณะกรรมการชุดนี้ได้ประชุมกันเป็นครั้งแรก เมื่อ ๑ ก.ย.๐๑ และได้มีการประชุมกันติดต่อโดยต่อเนื่อง เตรียมการสู้คดีอย่างทุกแง่ ทุกมุม การประชุมได้กระทำถึง ๗๓ ครั้ง ประชุมครั้งสุดท้าย เมื่อ ๒๗ ธ.ค.๐๔
                   ๒.๒.๓ ๖ ต.ค.๐๒ รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อสำนักทะเบียนศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อนำข้อพิพาทระหว่างกัมพูชากับไทยขึ้นสู่ศาลโดยขอให้ศาลพิพากษาและแถลงไม่ว่าประเทศไทยจะปรากฏตัวหรือไม่
                             ๒.๒.๓.๑ ว่าเป็นประเทศไทยจะอยู่ภายใต้พันธกรณีที่จะถอนกำลังทหารที่ได้ส่งไปประจำการตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๕๔ (พ.ศ.๒๔๙๗) ในปราสาทพระวิหาร
                             ๒.๒.๓.๒ ว่าอธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
                   ๒.๒.๔ กัมพูชาได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศใน ๒๓ ม.ค.๐๓ สรุปคำฟ้องได้ดังนี้
                             ๒.๒.๔.๑ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๒ กัมพูชาได้ประท้วงทางสายการทูตต่อไทยหลายครั้งว่าไทยยึดครองเขตแดนกัมพูชาบริเวณปราสาทพระวิหารแต่ไม่ได้ผลเพื่อป้องกันสิทธิอันชอบธรรม จึงต้องยื่นคดีนี้ต่อศาล
                             ๒.๒.๔.๒ สิทธิของกัมพูชามีหลักฐานสนับสนุน ๓ ประการ - อาศัยสนธิสัญญาปักปันเขตแดนระหว่างฝรั่งเศสและสยาม - กัมพูชาไม่เคยสละอำนาจเหนือดินแดนที่อ้างถึง - ไทยไม่ได้กระทำใดๆในทางใช้อำนาจเหนือดินแดนที่อ้างงถึงมาก่อน พร้อมกับรายละเอียดประกอบอีก ๓๐ หัวข้อ
                   ๒.๒.๕ ฝ่ายไทยได้แถลงคำค้านเบื้องต้น เมื่อ ๒๓ พ.ค.๐๓ สรุปว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่มีอำนาจพิจารณาคำร้องนี้ แต่ในที่สุดศาลก็ยกคำร้องของไทยและและสั่งการให้ประเทศไทยไปแก้คดี ฝ่ายไทยได้ยื่นคำให้การแก้ข้อกล่าวหาเมื่อ ๒๙ ก.ย.๐๔ และตั้งคณะทนายความเพื่อแก้ต่างในศาลคือ หม่อมเจ้าวงศ์ มหินชยางกูร เอกอัครราชทูตไทย ประจำเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย
                   ๒.๒.๖ คำแก้ข้อกล่าวหาของไทย สรุปได้คือ
                             ๒.๒.๖.๑ ไทยครอบครองปราสาทพระวิหารมาตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) โดยฝรั่งเศสหรือกัมพูชาไม่เคยโต้แย้งหรือขัดขวางเลย
                             ๒.๒.๖.๒ ตามที่กัมพูชาอ้างหลักฐานสนับสนุน ๓ ประการ - ประการแรก ฝ่ายไทยเห็นพ้องทุกประการที่จะต้องใช้สนธิสัญญาระหว่าง สยาม - ฝรั่งเศส ลงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๙๐๔ เป็นบทบังคับในคดีนี้ สนธิสัญญาระบุว่า ให้สันปันน้ำเขาพนมดงรักเป็นเส้นเขตแดน และสันปันน้ำนี้ได้กันเอาปราสาทพระวิหารไว้ในเขตไทย - ประการที่สอง ตามที่กัมพูชาอ้างว่าไม่เคยทอดทิ้งอำนาจอธิปไตยเหนือเขตแดนนี้ ราษฎรกัมพูชาได้ไปทำศาสนกิจธุดงค์ที่ปราสาทนี้เสมอมานั้น คนเขมรนับถือพระพุทธศาสนาจะไปทำศาสนกิจในเทวาลัยของศาสนาพราหมณ์ได้อย่างไร การเดินทางจากกัมพูชามายังปราสาท จะต้องไต่หน้าผาสูงชัน ยากจะปีนป่ายขึ้นมาได้ - ประการที่สาม กัมพูชาอ้างว่าไทยไม่เคยอ้างสิทธิเหนือปราสาทพระวิหาร มาก่อนนั้น ฝ่ายไทยทราบดีว่า เขตแดนไทยอยู่ ณ ที่ใด ไม่จำเป็นต้องประกาศอีก ปราสาทพระวิหารในสนธิสัญญา ก็ไม่มีระบุไว้เกี่ยวข้องกับเขตแดนอย่างไร กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ได้ค้นพบปราสาทแห่งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๔๒ ในครั้งนั้น ไม่มีผู้ใดสนใจกันมากนัก เพราะยังอยู่ในป่าดงดิบ ต่อมาจังหวัดศรีสะเกษได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๒๕ (พ.ศ.๒๔๖๘)
                             ฝ่ายไทยได้แก้ข้อกล่าวหาของฝ่ายกัมพูชาทุกข้อ โดยเฉพาะแผนที่ตามเอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๑ คือแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนที่ฝรั่งเศสทำขึ้นฝ่ายเดียวไม่มีการเสนอให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนตรวจสอบและให้คำรับรองก่อน สรุปแล้วแผนที่ชุดนี้ไม่มีผลบังคับใช้
                   ๒.๒.๗ ฝ่ายกัมพูชาได้เสนอคำคัดค้าน โดยอ้างว่า
                             - จากรายงานของกรมแผนที่ทหารบก ในการสำรวจมณฑลนครราชสีมา ในปี ค.ศ.๑๙๒๘ (พ.ศ.๒๔๗๑) ระบุว่า บริเวณนั้นเป็นป่าทึบมีบ้านเรือนอยู่กระจัดกระจาย ส่วนใหญ่ประชาชนเป็นชาวเขมรแสดงว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความปกครองของกัมพูชา
                             - ปราสาทพระวิหาร กษัตริย์สมัยนครวัด เป็นผู้สร้าง ดังนั้นจึงต้องเป็นของกัมพูชา
                             - แผนที่ตามคำฟ้องของกัมพูชาชุดดังกล่าวพิมพ์ขึ้นตามสนธิสัญญา ปี ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และแก้ไขตามสนธิสัญญา ปี ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ซึ่งแสดงเขตแดนปัจจุบันของไทย กัมพูชา และลาว
                             - การกำหนดเขตแดนตามสนธิสัญญา ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน แต่สันปันน้ำไม่ใช่เส้นเขตแดนตามธรรมชาติ ที่เห็นได้ด้วยตาจึงต้องกำหนดเขตแดนที่แน่ชัดไว้บนแผนที่
                             - การพิมพ์แผนที่ตามคำฟ้องหมายเลข ๑ นั้น หัวหน้าคณะกรรมการปักปันเขตแดนฝ่ายฝรั่งเศสร่วมกับหัวหน้าคณะกรรมการปักปันเขตแดนฝ่ายไทยเป็นคณะกรรมการผสมตามสนธิสัญญาสยาม - ฝรั่งเศส ปี พ.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) พิมพ์เสร็จในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.๑๙๐๘ (พ.ศ.๒๔๕๑) และได้กันแผนที่ ๕๐ ชุด ไปให้รัฐบาลสยาม และอีก ๑๙ ชุด ให้คณะกรรมการทั้งสองฝ่ายอีก ๑๕ ชุด ไปแจกจ่ายตามหัวเมืองต่าง ๆ ฝ่ายไทยไม่ได้แสดงเอกสารใด ๆ ที่แสดงความสงสัยในความถูกต้องแท้จริง
                   ๒.๒.๘ กัมพูชาขอให้ศาลพิจารณาตัดสินให้ คือ                              - ยกคำให้การของประเทศไทย รวมทั้งเหตุผลอย่างอื่นที่จะยกมาภายหลังด้วย                              - ขอให้ศาลพิจารณาว่า ไทยต้องถอนทหารออกไปจากเขาพระวิหารและอธิปไตยทางดินแดนที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่เป็นของกัมพูชา
                   ๒.๒.๙ ฝ่ายไทยได้เสนอคำท้วงติง คือ
                              - ฝ่ายไทยได้ชี้ชัดให้เห็นแล้วว่า แผนที่หมายเลข ๑ นั้น ฝรั่งเศสเป็นผู้ทำฝ่ายเดียว และเส้นเขตแดนที่ปรากฏตามโครงวาดดังกล่าว ไม่อาจนำมาใช้ผูกพันแทนสนธิสัญญาได้
                              - ปัญหาเชื้อชาติที่กัมพูชาอ้างนั้นปัจจุบันก็ยังมีคนเขมรมากมายในเขตไทย และคนเขมรเหล่านั้นล้วนแต่เป็นพลเมืองไทย
                              - ตัวปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นฝีมือของชาวขอมเช่นเดียวกับปราสาทนครวัด ดังนั้น จึงต้องเป็นของกัมพูชานั้นอารยธรรมของขอม ได้แพร่เข้ามายังประเทศไทยอีกมากมาย เช่น ปราสาท หินพิมาย ปราสาทหินที่ลพบุรี เป็นต้น การอ้างดังกล่าว จึงไม่เป็นการถูกต้อง
                              - ฝ่ายไทยได้สรุปที่มาของแผนที่ ประกอบคำฟ้องหมายเลข ๑ อีกมากที่จะชี้ให้เห็นว่า เป็นแผนที่ที่ฝรั่งเศส ทำแต่ฝ่ายเดียว
                              - ตามที่กัมพูชาอ้างแผนที่กรมแผนที่ทหารบกทำนั้นฝ่ายไทยได้เสนอหลักฐานว่า กัมพูชาบิดเบือนความจริงที่ถูกต้อง แผนที่ดังกล่าวสำรวจในปี ค.ศ.๑๙๓๔ (พ.ศ.๒๔๗๗) ได้แสดงว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตไทย
                              - ฝ่ายไทยได้เสนอแผนที่ทันสมัยที่เขียนจากรูปถ่ายทางอากาศ ซึ่งได้รับการรับรองจาก ศาสตราจารย์ สเกมา ฮอน คณบดีศูนย์ฝึกการสำรวจทางอากาศระหว่างประเทศ ณ เมืองเดลฟท์ ว่าแนวสันปันน้ำอยู่ทางทิศใต้ของปราสาทพระวิหาร
                              - สรุปแล้ว ประเด็นที่ใช้ในการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารเหลือประเด็นเดียว ที่มีผลตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ สนธิสัญญา ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และ ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ที่กำหนดไว้ว่า "จากจุดบนภูเขาพนมดงรักที่ว่านี้ไป เส้นเขตดินแดนตามสันปันน้ำ ............"
                   ๒.๒.๑๐ คำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อ ๑๕ มิ.ย.๐๕ ได้ตัดสินโดยการลงคะแนน ดังนี้
                              - เก้าเสียง ต่อสามเสียง ลงความเห็นว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
                              - เก้าเสียง ต่อสามเสียง ลงความเห็นว่า ไทยต้องถอนทหารและตำรวจที่ประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารออกให้พ้นเขตกัมพูชา
                              - เจ็ดเสียง ต่อห้าเสียง ให้ไทยคืนวัตถุโบราณต่าง ๆที่โยกย้ายไปจากปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา
                              - มีสามเสียง ที่มีความเห็นแย้งคือ นายมอเรโน กินตานา ชาวอาร์เจนตินา นายเวลลิงตัน คู ชาวจีน (ไต้หวัน) และเซอร์ เพอซี เสปนเดอร์ ชาวออสเตรเลีย
                   ๒.๒.๑๑ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่ได้ระบุในคำตัดสินถึงแนวเส้นเขตแดนที่ถูกต้อง แน่ชัดในพื้นที่ดังกล่าว เพราะแม้ศาลโลกได้สรุปว่า ต้องใช้แผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม - อินโดจีน ฝรั่งเศส มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ เป็นเหตุผลในการวินิจฉัย แต่ศาลก็ชี้ชัดว่า ข้อเรียกร้องของกัมพูชาที่ขอให้ศาลประกาศนิติฐานะของเส้นเขตแดน ตามแผนที่ดังกล่าวนั้น ศาลสามารถพิจารณาให้ได้เฉพาะในขอบเขตที่เป็นเครื่องแสดงเหตุผลเท่านั้น และไม่ใช้ฐานเป็นข้อเรียกร้องที่จะตัดสินให้ในข้อบทปฏิบัติการของคำพิพากษา
           ๒.๓ การปฏิบัติของรัฐบาลไทย
                   ๒.๓.๑ รัฐบาลไทยได้แถลงว่า ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว แต่ในฐานะประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ไทยก็จะปฏิบัติตามพันธกรณีต่างๆ อันเป็นผลมาจากคำพิพากษาตามข้อ ๙๔ ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ ๑๐ ก.ค.๐๕ รัฐบาลไทยได้คืนตัวปราสาทพระวิหารให้แก่กัมพูชา โดยกำหนดขอบเขตพื้นที่ที่คืนให้แก่ฝ่ายกัมพูชาทางทิศเหนือที่ระยะ ๒๐ เมตร จากบันไดนาค ไปทางทิศตะวันออกจนถึงช่องบันไดหัก และทิศตะวันตกที่ระยะ ๑๐๐ เมตร จากแกนของตัวปราสาทไปทางทิศใต้ จนจรดขอบหน้าผา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้แจ้งการปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว แก่เลขาธิการสหประชาชาติ เมื่อ ๑๓ ก.ค.๐๕ และยึดถือเขตแดนบริเวณนี้ ตามที่กำหนดข้างต้นตลอดมา
                   ๒.๓.๒ ข้อสงวนของรัฐบาลไทย ในหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติดังกล่าวได้แจ้งด้วยว่าไทยขอตั้งข้อสงวนสิทธิใด ๆ ที่ประเทศไทยมีหรืออาจจะมีในอนาคต เพื่อเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมา โดยอาศัยกระบวนการกฎหมายที่มีอยู่ หรือที่จะพึงนำมาใช้ได้ในภายหลัง และตั้งข้อประท้วงต่อคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
                   ข้อสงวนที่รัฐบาลไทยได้ตั้งไว้มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมถึงธรรมนูญศาลทั้งหมด รวมทั้ง ข้อ ๖๐ ซึ่งไม่มีการจำกัดเวลา ๑๐ ปี เช่นข้อ ๖๑ นอกจากนั้นยังคลุมถึงกฎบัตรสหประชาชาติทั้งฉบับ โดยเฉพาะข้อ ๓๓ ที่เปิดโอกาสให้คู่กรณีแสวงหาช่องทาง ระงับกรณีพิพาทโดยสันติวิธี เช่น อนุญาโตตุลาการ คณะกรรมการไกล่เกลี่ย ฯลฯ
           ๒.๔ การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ระหว่างไทย - กัมพูชา
                   ๒.๔.๑ ลักษณะแนวเขตแดนทางบกไทย – กัมพูชา แนวเขตแดนตลอดแนว มีความยาวประมาณ ๗๙๘ กิโลเมตร แบ่งเป็นตามแนวเส้นตรงประมาณ ๕๘ กิโลเมตร ตามแนวลำน้ำประมาณ ๒๑๖ กิโลเมตร และตามแนวสันปันน้ำประมาณ ๕๒๐ กิโลเมตร แบ่งออกเป็น
                   - เริ่มตั้งแต่จุดร่วมเขตแดนสามประเทศคือไทย - กัมพูชา - ลาว บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีไปตามทิวเขาพนมดงรักผ่านจังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์จนถึงรอยต่อจังหวัดบุรีรัมย์กับจังหวัดสระแก้ว (บริเวณหลักเขตแดนที่ ๒๘) เขตแดนใช้แนวสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรักเป็นเส้นเขตแดน รวมความยาวประมาณ ๓๖๔ กิโลเมตร
                   - เริ่มตั้งแต่หลักเขตแดนที่ ๑๘ เส้นเขตแดนไปตามลำคลองสลับกับแนวเส้นตรงไปจนถึงต้นน้ำของทิวเขาบรรทัดทอง (ใกล้หลักเขตที่ ๖๘) ผ่านจังหวัดสระแก้วและจังหวัดจันทบุรี รวมความยาวประมาณ ๒๗๓ กิโลเมตร
                   - เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำคลองน้ำใส (รอยต่อจังหวัดจันทบุรีกับจังหวัดตราด)เส้นเขตแดนไปตามแนวสันปันน้ำของทิวเขาบรรทัดในเขตจังหวัดตราดผ่านหลักเขตแดนที่ ๖๙ ไปจนถึงหลักเขตแดนที่ ๗๒ ความยาวประมาณ ๑๖๐ กิโลเมตร และจากหลักเขตแดนที่ ๗๒ เขตแดนเป็นเส้นตรงจนถึงหลักเขตแดนที่ ๗๓ อำเภอ คลองใหญ่ จังหวัดตราด ความยาวประมาณ ๑ กิโลเมตร
                   ๒.๔.๒ การปักปันเขตแดนไทย - กัมพูชา ในอดีต เขตแดนไทย - กัมพูชา ได้เคยมีการปักปันเขตแดนร่วมกันในภูมิประเทศ โดยมีหลักฐานทางกฎหมายที่ผูกพันมาถึงปัจจุบัน ดังนี้
                   - อนุสัญญา ระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ.๑๑๒ (ค.ศ.๑๘๙๓ หรือ พ.ศ.๒๔๓๖) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ.๑๒๒ (ค.ศ.๑๙๐๔ หรือพ.ศ.๒๔๔๗)
                   - สนธิสัญญา ระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕ (ค.ศ.๑๙๐๗ หรือ พ.ศ.๒๔๕๐) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญา ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕
                   -แผนที่ ที่จัดทำตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน มาตราส่วน ๑ : ๒๐๐,๐๐๐ จำนวนเจ็ดระวาง ซึ่งจัดทำขึ้นตามอนุสัญญา ฉบับปี ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) สองระวาง และสนธิสัญญา ฉบับปี พ.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ห้าระวาง และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ฉบับปี ค.ศ.๑๙๐๔ (พ.ศ.๒๔๔๗) และสนธิสัญญา ฉบับปี ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส
                   - หลักเขตแดน ได้มีการจัดทำหลักเขตแดนในภูมิประเทศร่วมกันให้เป็นไปตามสนธิสัญญา ฉบับปี ค.ศ.๑๙๐๗ (พ.ศ.๒๔๕๐) เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๐ ลักษณะของเขตแดนเป็นหลักไม้โดยเริ่มปักตั้งแต่ช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ (รอยต่อระหว่างจังหวัดสุรินทร์กับจังหวัดศรีสะเกษ เป็นหลักเขตแดนที่ ๑ ไปตามสันปันน้ำของทิวเขาพนมดงรักไปจนถึงอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ซึ่งเป็นหลักเขตแดนที่ ๗๓ รวมปักปันเขตแดนจำนวน ๗๓ หลัก และหลักเขตแดนย่อยอีก ๒ หลัก (เสริมระหว่างหลัก ๒๒ และ ๒๓) ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๑ ทั้งสองฝ่ายได้สร้างหลักเขตแดนใหม่หมดเป็นคอนกรีตทั้ง ๗๓ หลัก แต่ไม่ได้สร้างตรงตำแหน่งเดิมมีการขยับไปตำแหน่งใกล้เคียงที่เหมาะสมและได้ทำบันทึกวาจาการปักหลักหมายเขตแดน (Proces - Verbal ) ของแต่ละหลักเขตไว้ด้วย
                   ๒.๔.๓ การสำรวจและจัดทำเขตแดนทางบกร่วมไทย - กัมพูชา ไทย- กัมพูชา ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ ( Memorandum of Understanding ) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก เมื่อ ๑๔ มิ.ย.๔๓ ให้มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตลอดแนวร่วมกันให้เป็นไปตามหลักฐานทางกฎหมายที่ผูกพันมาในอดีตทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้มีการดำเนินการดังนี้
                   - แต่งตั้งคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Boundary Commission JBC ) ฝ่ายไทยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายกัมพูชามีนายวาร์ คิม ฮอง เป็นประธาน เพื่อรับผิดชอบให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนให้เป็นไปตามหลักฐานทางกฎหมาย
                   - แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเทคนิคร่วมไทย - กัมพูชา (Joint Technical Sub - Commission JTSC ) ฝ่ายไทยมีเจ้ากรมแผนที่ทหารฝ่ายกัมพูชามีนายลอง วิสาโล เป็นประธาน เพื่อรับผิดชอบในแนวการปฏิบัติงานของคณะ JBC จัดทำแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดน (Term of Reference : TOR ) เพื่อใช้เป็นกรอบทางเทคนิคในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในครั้งนี้
                   ๒.๔.๔ ขั้นตอนการสำรวจ มีอยู่ ๕ ขั้นตอนด้วยกันคือ
                   - ขั้นตอนที่ ๑ ค้นหาที่ตั้งหลักเขตแดนทั้ง ๗๓ หลัก เมื่อตกลงที่ตั้งของแต่ละหลักได้แล้ว จะทำการซ่อมแซมในกรณีที่ชำรุด และสร้างขึ้นใหม่ในกรณีที่สูญหายหรือถูกเคลื่อนย้าย
                   - ขั้นตอนที่ ๒ จัดแผนที่ภาพถ่าย (Orthophoto Map ) เป็นการทำแผนที่ภาพถ่ายแสดงลักษณะภูมิประเทศตามแนวเขตแดนทางบกตลอดแนว โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพดาวเทียม เพื่อช่วยในการสำรวจตามแนวเขตแดนในภูมิประเทศ โดยอาจจะใช้เวลาจัดทำประมาณหนึ่งปี โดยการจ้างประเทศที่สาม
                   - ขั้นตอนที่ ๓ กำหนดแนวที่เดินสำรวจลงบนแผนที่ภาพถ่ายทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันกำหนดแนวทางในการเดินสำรวจตามหลักฐานทางกฎหมายลงบนแผนที่ภาพถ่าย เพื่อเป็นแนวทางในการเดินสำรวจหาแนวเขตแดนจริงในภูมิประเทศ ให้สะดวกรวดเร็ว และมีความถูกต้อง
                   - ขั้นตอนที่ ๔ เดินสำรวจตามแนวเขตแดนในภูมิประเทศทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันเดินสำรวจในภูมิประเทศจริง เพื่อกำหนดแนวเขตแดน โดยใช้แผนที่ภาพถ่ายที่เป็นตัวช่วยแบ่งเป็นตามสันปันน้ำ ตามลำคลอง และเป็นเส้นตรง พร้อมทั้งกำหนดจุดที่จะก่อสร้างเขตแดนไปด้วย (ทุกระยะ ๕ กม.โดยประมาณ)
                   - ขั้นตอนที่ ๕ สร้างหลักเขตแดน โดยแบ่งตามลักษณะของแนวเขตแดนคือ ส่วนที่เป็นสันปันน้ำ สร้างหลักบนสันปันน้ำ ส่วนที่เป็นลำคลองสร้างหลักบนตลิ่งของลำคลองส่วนเป็นที่เป็นเส้นตรง สร้างหลักตามแนวเส้นตรง
                   ๒.๔.๕ ลำดับพื้นที่การสำรวจร่วมไทย - กัมพูชา
                              - ตอนที่ ๔ เริ่มจากหลักเขตแดนที่ ๔๙ - ๒๓
                              - ตอนที่ ๓ เริ่มจากหลักเขตแดนที่ ๕๐ - ๖๖
                              - ตอนที่ ๒ เริ่มจากหลักเขตแดนที่ ๖๗ - ๗๑
                              - ตอนที่ ๕ เริ่มจากหลักเขตแดนที่ ๗๒ - ๗๓
                              - ตอนที่ ๖ เริ่มจากหลักเขตแดนที่ ๑ ถึง เขาสัดตะโสม
                              - ตอนที่ ๗ เริ่มจากเขาสัตตะโสม ถึงช่องบก
           ๒.๕ เขตแดนระหว่างประเทศ
                    ๒.๕.๑ นิยามศัพท์
                              - เขตแดน ( Boundary ) มีความหมายเป็นสามนัยคือ ขอบเขตเส้นแบ่งเขตและเขตแดนระหว่างประเทศ ในความหมายของเขตแดนระหว่างประเทศหมายถึง เส้นที่สมมุติขึ้นโดยประเทศทวิภาคี เพื่อกำหนดเป็นขอบเขตให้รู้ว่าอำนาจอธิปไตยของตนมาสิ้นสุดที่เส้นนี้ เส้นสมมุติดังกล่าวอาจเขียนขึ้นบนแผนที่ หรือแสดงด้วยถ้อยคำเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ จะแสดงหลักฐานบนพื้นดิน เช่น ปักหลักเขตแดนด้วยหรือไม่ก็ได้
                              - แนวพรมแดน ( Frontier) เป็นพื้นที่คาบเกี่ยวของสองประเทศไปตามเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไม่มีข้อกำหนดว่า จะลึกเข้าไปด้านละเท่าไร
                              - ชายแดน ( Border ) คือพื้นที่ที่ซึ่งนับจากเส้นเขตแดนระหว่างประเทศเข้าไปในดินแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง ไม่มีข้อกำหนดว่าจะลึกเข้าไปเท่าใด
                              - ดินแดน ( Territorial ) คือพื้นที่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งถูกกำหนดขึ้นด้วยเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ ผู้มีอำนาจปกครองมีอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น ทุกประการ
                              - เส้นปันน้ำ ( Watershed ) คือลักษณะของพื้นดินที่สูงกว่าบริเวณอื่นที่ต่อเนื่องกันเมื่อฝนตกจะแบ่งน้ำออกเป็นสองส่วน เช่น สันเขาที่ต่อเนื่องกันโดยไม่มีลำน้ำตัดผ่าน
                              - สันเขา ( Ridge ) คือ ลักษณะของทิวเขาในส่วนที่สูงที่สุดซึ่งยาวต่อกันเป็นพืด จะขาดตอนเป็นช่วง ๆ หรือต่อกันเป็นพืดยาวก็ได้ถ้าต่อเป็นพืดยาวจะเรียกว่า สันปันน้ำ
                              - ร่องน้ำลึก ( Thalweg) เป็นภาษาฝรั่งเศส ส่วนภาษาอังกฤษใช้คำว่า Deepest water chanel คือ ร่องน้ำลึกที่สุดและต่อเนื่องกันในท้องน้ำ
                              - กลางลำน้ำ ( Mid river ) คือจุดกลางของแนวที่ลากจากฝั่งลำน้ำหนึ่ง มายังอีกฝั่งหนึ่งในลักษณะที่ทำมุมกับฝั่งใกล้เคียงมุมฉากมากที่สุด
                              - การเปลี่ยนทางเดินของลำน้ำอย่างฉับพลัน ( Avulsion ) คือการที่ลำน้ำที่ใช้เป็นเส้นเขตแดนเปลี่ยนร่องน้ำไปจากเดิมในลักษณะคุ้งน้ำถูกตัดขาดหรือช่วงใดช่วงหนึ่งของลำน้ำเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างฉับพลันในช่วงน้ำหลากในฤดูเดียว ลักษณะเช่นนี้ เส้นเขตแดนยังไม่เปลี่ยนแปลง
                              - การเปลี่ยนทางเดินแบบค่อยเป็นค่อยไป ( Erosion ) คือการที่ลำน้ำที่ใช้เป็นเส้นเขตแดน เปลี่ยนร่องน้ำไปจากเดิมในลักษณะน้ำกัดเซาะฝั่งให้พังทลายไปทีละเล็กละน้อย ถ้าประเทศเจ้าของชายฝั่งไม่ทำการอนุรักษ์ฝั่งสภาพเส้นเขตแดนก็เป็นไปตามลำน้ำที่ปรากฏในปัจจุบัน
                              - หลักเขตแดน ( Boundary Pillar ) คือสิ่งที่แสดงไว้บนเส้นเขตแดน ในลักษณะเป็นหลัก โดยเจ้าหน้าที่ของประเทศทั้งสองได้รับมอบหมายให้ทำขึ้นเพื่อแสดงให้รู้ว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน
                              - หลักอ้างอิงเขตแดน ( Boundary Reference ) คือหลักในลักษณะของหลักเขตแดน แต่ไม่ได้ปักไว้บนเส้นเขตแดนแต่สามารถใช้อ้างอิงให้รู้ว่า เส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน
                   ๒.๕.๒ วิธีกำหนดเส้นเขตแดน
                              - เส้นเขตแดนที่ยอมรับกันโดยพฤตินัย ( Non Agreement Boundary ) คือ เส้นเขตแดนระหว่างประเทศสองประเทศที่เกิดขึ้นและยอมรับโดยพฤตินัย ประเทศคู่ภาคีไม่เคยมีการทำความตกลงอย่างเป็นทางการระหว่างกันเจ้าหน้าที่และราษฎรในท้องถิ่นเท่านั้น จะรู้ว่าเส้นเขตแดนของตนอยู่ที่ใด
                              - เส้นเขตแดนที่กำหนดอย่างเป็นทางการ ( Agreement Boundary ) คือ เส้นเขตแดนที่ทวิภาคี ที่มีดินแดนต่อเนื่องทำความตกลงกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีความตกลงนั้นจะทำในรูปของเอกสารประกอบข้อตกลง เส้นแสดงเขตแดนบนแผนที่ ( Boundary on Map) และสร้างหลักเขตไว้ในภูมิประเทศ ( Boundary Pillars on Terrain Feature ) การกำหนดเขตแดนเป็นทางการนี้ผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลจะต้องมีการแลกเปลี่ยนหนังสือมอบอำนาจ ( Credentials ) ก่อนจึงจะมีอำนาจในการลงนามในเอกสาร หรือแผนที่ดังกล่าว แต่ยังไม่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศจนกว่ารัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะมีการแลกเปลี่ยนสัตยาบัน ( Ratify ) กันอีกครั้งหนึ่ง
                   ๒.๕.๓ หลักนิยมในการกำหนดเขตแดนบนพื้นดิน
                              - ใช้สิ่งกีดขวางตามธรรมชาติ ( Natural Barrier ) ได้แก่ แม่น้ำ ลำคลอง ลำห้วย โดยมีหลักนิยมว่า ถ้าเรือเดินได้นิยมใช้ร่องน้ำลึก ถ้าเรือเดินไม่ได้ อาจใช้กลางลำน้ำ หรือร่องน้ำลึกก็ได้ หรือตามแต่จะตกลงกัน
                              - กำหนดโดยสภาพสังคม เช่น มีการแบ่งเขตแดนกันตามเผ่าพันธุ์ของประชาชน ที่ครอบครองพื้นที่เหล่านั้นอยู่
                              - กำหนดโดยใช้คณิตศาสตร์ เป็นการขีดเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงตามค่าพิกัดภูมิศาสตร์ ซึ่งได้แก่ค่าเส้นรุ้ง (Latitude ) และเส้นแวง (Longitude )
           ๒.๖ องค์กรระหว่างประเทศ ไทย - กัมพูชา ในการแก้ปัญหาชายแดน
                   ๒.๖.๑ คณะกรรมาธิการร่วมไทย - กัมพูชา (Thai Cambodian Joint Commission JC ) มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม ฝ่ายไทยมีอธิบดีกรมเอเซียตะวันออกเป็นเลขานุการ มีภารกิจในการแก้ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาทุกเรื่อง ยกเว้นด้านความมั่นคง
                   ๒.๖.๒ คณะกรรมาธิการชายแดนไทยร่วมไทย - กัมพูชา ( Thai Cambodian Joint Boundary Commission JBC )ไทยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานร่วมกับที่ปรึกษารัฐบาลรับผิดชอบกิจการชายแดนของกัมพูชา ฝ่ายไทยมีอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายเป็นเลขานุการรับผิดชอบในการกำหนดแนวทางในการสำรวจจัดหาทำหลักเขตแดนไทย – กัมพูชาทางบก
                   ๒.๖.๓ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee GBC ) มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทั้งสองฝ่ายเป็นประธานกรรมการร่วม ฝ่ายไทยมีเจ้ากรมยุทธการทหาร เป็นเลขานุการ
                   ๒.๖.๔ คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ฝ่ายไทยมี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธานร่วมกับประธานคณะเสนาธิการกองทัพอากาศแห่งชาติกัมพูชาเป็นประธานฝ่ายกัมพูชา ฝ่ายไทยมีหัวหน้าศูนย์อำนวยการร่วม บก.ทหารสูงสุดเป็นเลขานุการ
                   ๒.๖.๕ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคด้านกองทัพภาค ๑ ของไทยและภูมิภาคทหารที่ ๕ ของกัมพูชา ฝ่ายไทยมีแม่ทัพภาคที่ ๑ เป็นประธานร่วมกับผู้บัญชาภาคทหารที่ ๕ เป็นประธานฝ่ายกัมพูชา ฝ่ายไทยมีเสนาธิการกองทัพภาคที่ ๑ เป็นเลขานุการ
                   ๒.๖.๖ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคด้านกองทัพภาคที่ ๒ ของไทยและภูมิภาคทหารที่ ๔ ของกัมพูชา ฝ่ายไทยมีแม่ทัพภาคที่ ๒ เป็นประธาน ฝ่ายกัมพูชามีผุ้บัญชาการภาคทหารที่ ๔ เป็นประธาน ฝ่ายไทยมีเสนาธิการกองทัพภาคที่ ๒ เป็นเลขานุการ
                   ๒.๖.๗ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคด้านกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี – ตราด ของไทย กับด้านภูมิภาคทหารที่ ๓ ของกัมพูชา ฝ่ายไทยมีผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี - ตราด เป็นประธานร่วมกับผู้บัญชาการภาคทหารที่ ๓ ของกัมพูชา ฝ่ายไทยมีเสนาธิการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี - ตราด เป็นเลขานุการ


 


 
 
dooasia.com
สงวนลิขสิทธิ์ © 2550 ดูเอเซีย    www.dooasia.com

เว็บท่องเที่ยว จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ ข้อมูลท่องเที่ยว ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม แผนที่ การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร จองที่พักและโรงแรมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วโลก คลิปวีดีโอ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ลาว เวียดนาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวลาว การท่องเที่ยวกัมพูชา การท่องเที่ยวเวียดนาม มรดกไทย กรมป่าไม้
dooasia(at)gmail.com ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์