นั่งรถไฟลดโลกร้อน เชื่อมสัมพันธ์ไทยลาว

0

สวัสดีเพื่อน ๆ ดูเอเซียดอทคอมจ้า ทริปนี้ดูเอเซียดอทคอมขอพาเพื่อน ๆ ไปสัมผัสกับบรรยากาศการท่องเที่ยวแบบรถไฟกันอีกครั้ง กับโครงการ “15 เส้นทางหรรษา นั่งรถไฟ ไปโอบหมอก หยอกสายลม ชมอารยธรรม” ที่ ททท.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทยและสมาคมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ร่วมกันจัดขึ้นมาเพื่อ สร้างสรรค์รูปแบบการท่องเที่ยวหัวใจใหม่ โดยเส้นทางนี้ เราจะไปเที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน นั่งลดไฟลดโลกร้อน เชื่อมสัมพันธ์ไทย ลาว ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน 2555 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ของไทยเราพอดีโดยทริปนี้ดูเอเซียดอทคอมของเราก็ได้ร่วมเดินทางไปกับเค้าด้วย แน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะเก็บภาพบรรยากาศความประทับใจมาฝากกันเหมือนเคยค่ะ

หลังจากเก็บภาพความสวยงามและความประทับใจกันแล้ว สถานที่ต่อไปที่เราจะเดินทางไปคือถนนคนเดินเชียงคาน และที่พักที่แรกของทริปนี้ก็อยู่ที่เชียงคานด้วยเช่นกัน เมื่อไปถึงเชียงคาน อย่างแรกที่ได้สัมผัสเลยคือบรรยากาศยามเย็นของริมฝั่งแม่น้ำโขง สวยงามและเงียบสงบมาก ๆ เหมาะแก่การมาพักผ่อนโดยแท้ พอเริ่มเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ แสงไฟเหลือง ๆ เริ่มสว่างไสวไปทั่วบ้านเรือนและท้องถนน กิจกรรมยามค่ำคืนที่นี้ก็คือการเดินชิมบรรยากาศ ซื้อของฝาก ของที่ระลึก งานแฮนเมดทั้งนั้นเลยค่ะ ใครที่ชื่นชอบพวกของแฮนเมด มาที่นี้ รับรองว่าโดนไปหลายตังค์แน่นอน ถนนคนเดินที่เชียงคานนี้ปกติถ้าเป็นวันธรรมดาประมาณ 2 ทุ่ม เค้าก็ปิดแล้วค่ะ แต่ถ้าเป็นเสาร์ อาทิตย์ หรือช่วงเทศกาลล่ะก็ สามารถเดินชมบรรยากาศได้ยาวถึง 4 ทุ่มเลย หลังจากเดินช็อปกันจนเพลิดเพลินแล้ว ก็ได้เวลาเข้าพักผ่อนแล้วค่ะ เพราะเดินทางมาทั้งวันเลย เราต้องชาร์ตแบตเตรียมไว้ลุยพรุ่งนี้บ้าง

เข้าสู่วันที่สองของการเดินทางทริปรถไฟเชื่อมสัมพันธ์ไทยลาว ตื่นเช้ามาต้อนรับวันใหม่ด้วยการทำบุญใส่บาตรข้าวเหนียวในเมืองเชียงคาน หลังจากอิ่มบุญกันแล้วก็ไปอิ่มท้องกันต่อกับข้าวต้มร้อน ๆ และไข่กระทะ เมนูอาหารยามเช้าที่ขึ้นชื่อของที่เชียงคาน ขอบอกว่าอร่อยมากค่ะ ใครมาเชียงคานต้องลองมาโดนไข่กระทะดูสักครั้ง หลังจากนั้น เริ่มออกเดินทางกันต่อไปยังตำบลท่าลี่ เพื่อนมัสการพระธาตุสัจจะ พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดเลยและชาวลาว ซึ่งได้บุญกันถ้วนหน้าเลยครับ เพราะทุกคนได้เขียนชื่อลงในผ้าและนำขึ้นไปถวายยังพระธาตุสัจจะ หลังจากอิ่มบุญอิ่มใจกันแล้ว ออกเดินทางสู่จังหวัดหนองคายเพื่อไปนมัสการหลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหนองคาย ซี่งช่วงนี้อยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ชาวหนองคายและนักท่องเที่ยวต่างเดินทางมาสักการะและทรงน้ำพระกันเป็นจำนวนมาก คนงี้แน่นศาลาตลอด ทำให้เก็บภาพบรรยากาศมาได้อยากมากค่ะ สมแล้วที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง จากนั้นปิดท้ายการท่องเที่ยวของวันที่สองนี้ ที่ ศาลาแก้วกู่ จ.หนองคาย ซึ่งสร้างขึ้นโดย “ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์” หรือ “ปู่เหลือ” โดยปรารถนาให้ศาลาแก้วกู่เป็นเมืองอมตะหรือดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ที่ศาลาแก้วกู่เค้าเปิดให้เข้าชมถึงเวลา 18.00 น. เท่านั้น ซึ่งเราได้เวลาพอดี ช่วงเวลายามเย็นนั้น ที่นี้จะถ่ายภาพได้สวยมาก ๆ เพราะแสงอ่อน ๆ จากพระอาทิตย์กำลังจะตกดินทำให้ สถาปัตยกรรมของที่นี้ดูลึกลับ น่าศรัทธาเป็นอย่างยิ่งค่ะ

เข้าสู่วันที่สามของการเดินทางค่ะ ซึ่งเป็นวันที่พวกเราและชาวคณะทัวร์ต้องเดินทางข้ามไปเยือนบ้านพี่เมืองน้องอย่างประเทศลาว 08.00 น. เริ่มออกเดินทางสู่สะพานมิตรภาพไทย ลาว จังหวัดหนองคาย เพื่อทำการตรวจคนเข้าเมืองก่อนเพื่อเดินทางต่อไปยังเวียงจันทร์ เมืองหลวงของประเทศลาว บรรยากาศที่นั้นก็คล้าย ๆ ตัวเมืองบ้านเราเลยค่ะ แต่บ้านเค้าไม่มีตึกสูง ๆ และยังคงความเป็นธรรมชาติไว้อยู่เยอะทีเดียว และสถานที่แรก ไปนมัสการพระธาตุหลวง ศาสนสถานที่สำคัญและเป็นสัญญาลักษณ์ประจำชาติของประเทศลาว ขอบอกว่าสวยงามมาก ๆ ค่ะ องค์พระธาตุสีทองอร่ามตา หลังจากอิ่มใจกับการสักการะองค์ประธาตุหลวงแล้ว เดินทางไปชมภาพบรรยากาศของประตูชัย อนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ ยิ่งใหญ่สมค่ำร่ำลือจริง ๆ โดยบรรยากาศรอบ ๆ น้ำพุตรงประตูชัยในวันนั้นเต็มไปด้วยชาวลาวที่มาเล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน เห็นแล้วอยากเข้าไปร่วมแจมด้วยจังค่ะ เพราะอากาศที่ประเทศลาวในช่วงเดือนเมษายน ก็ร้อนแรงไม่แพ้บ้านเราเช่นกัน หลังจากเก็บภาพที่ระลึกของประตูชัยกันเรียบร้อย สถานที่ต่อไปของเราคือ วัดศรีเมือง วัดเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ เป็นหลักบ้านหลักเมืองของ สปป.ลาว มาช้านาน แต่ว่าน่าเสียดายค่ะ เพราะได้แค่ผ่านหน้าวัดเท่านั้น เพราะ บริเวณน่าวัด ไม่สามารถจอดรถได้เลย เพราะมีชาวลาวออกมาเล่นน้ำช่วงเทศกาลสงกรานต์กันอย่างเนื่องแน่น น่าเสียดายค่ะ มาถึงที่แล้วแท้ ๆ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะที่ต่อไปที่จะได้ไปกัน เราจะได้ไปช็อปปิ้งกัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คนไทยชอบ อิอิ และไม่ควรพลาดในการมาเยือนลาวทั้งที เพราะสินค้าที่นี้ถูกกว่าบ้านเราค่ะ แต่ของถูกก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป ตาดีได้ตาร้ายเสียน่ะค่ะ หลังจากช็อปกันอย่างเพลิดเพลิน จนเวลา 17.00 น. ได้เวลาข้ามกลับไปบ้านเรา เพื่อเดินทางต่อไปยังยังสถานนีรถไฟ จ.หนองคาย เพื่อเดินทางกลับบ้านแล้วค่ะ

ก็ผ่านไปด้วยดีกับกับทริป “เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน นั่งรถไฟลดโลกร้อน เชื่อมสัมพันธ์ไทยลาว” หนึ่งใน 15 เส้นทางหรรษา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทริปที่สร้างความประทับใจไม่น้อยทีเดียว ได้ทั้งบุญ ทั้งอิ่มและก็ได้ของฝากกับไปเยอะแยะกันเลยค่ะ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทยและสมาคมการท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่ร่วมกันจัดทริปดี ๆ แบบนี้ขึ้น ไว้มีโอกาสหน้า ดูเอเซียดอทคอมได้มาร่วมทริป 15 เส้นทางหรรษาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางไหนก็แล้วแต่ ดูเอเซียดอทคอมก็พร้อมจะเก็บภาพบรรยากาศมาฝากเพื่อน ๆ เหมือนเช่นเคยค่ะ แล้วเจอกันทริปต่อไป กับดูเอเซียดอทคอมคิดจะเที่ยวเว็บเดียวพอจ้า

เริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง โดยขบวนรถไฟตู้นอนชั้น 2 ปรับอากาศ พ่วงรถด่วนขบวนที่ 69 โดยมุ่งหน้าออกจากสถานีเวลา 19.30 น. ถึงจังหวัดอุดรธานีจุดหมายปลายทางแรกของทริปนี้ ระยะเวลาในการเดินทางก็ประมาณ 12 ชม. ได้ค่ะ ถึงที่หมายเวลา 09.00 น. ซึ่งถือว่าเป็นวันแรกของการท่องเที่ยวของทริปนี้ เมื่อถึงสถานีอุดรธานี เราก็เดินทางกันต่อไปด้วยรถบัสปรับอากาศ 2 คัน ด้วย เพราะทริปนี้มีลูกทัวร์เยอะมากค่ะ ประมาณ เกือบ ๆ 80 ท่านได้ โดยสถานที่แรกที่เราไปกันนั้นอยู่ที่ จ.เลย ซึ่งใคร ๆ ต่างขนาดนามที่นี้ว่า คุนหมิงเมืองเลย หรือคุนหมิงเมืองไทย ที่นั้นก็คือสวนหินผางาม จ.เลย” นั้นเอง ด้วยแนวหินปันที่สูงใหญ่แลดูเป็นสง่า ทอดตัวเรียงเป็นแนวยาว ท่ามกลางทุ่งหญ้าน้อยใหญ่ ที่เขียวขจี ที่นี้จึงได้ชื่อว่าคุนหมิงเมืองเลย เมื่อเราไปถึงสวนผาหินงาม หลังจากพักทานอาหารเติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางกันเพือไปดูจุดชมวิวข้างบนซึ่งเป็นผาหินรูปทรงต่าง ๆ เช่นรูปไดโนเสาร์ เต่า หรือลิงกอริล่า ฯลฯ เราต้องเดินขึ้นบันไดเหล็กร้อยกว่าขั้น ที่มีความสูงชัน แต่พวกเราและคณะทัวร์ต่างไม่ย่อท้อค่ะ เดินขึ้นไปจนถึงจุดชมวิวของสวนหินผางาม เมื่อขึ้นไปถึงก็หายเหนื่อย เพราะสวยงามสมฉายาคุนหมิงเมืองเลยจริง ๆ

เชิญแสดงความคิดเห็น