ท่องเที่ยว || เพิ่มข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว|| ดูดวงตำราไทย|| อ่านบทละคร|| เกมส์คลายเครียด|| วิทยุออนไลน์ || ดูทีวี|| ท็อปเชียงใหม่ || รถตู้เชียงใหม่
  dooasia : ดูเอเซีย   รวมเว็บ   บอร์ด     เรื่องน่ารู้ของสยาม   สิ่งน่าสนใจ  
 
สำหรับนักท่องเที่ยว
ตรวจสอบระยะทาง
แผนที่ 77 จังหวัด
คู่มือ 77 จังหวัด(PDF)
จองโรงแรม
ข้อมูลโรงแรม
เส้นทางท่องเที่ยว(PDF)
ข้อมูลวีซ่า
จองตั๋วเครื่องบิน
จองตั๋วรถทัวร์
ทัวร์ต่างประเทศ
รถเช่า
197 ประเทศทั่วโลก
แลกเปลี่ยนเงินสากล
ซื้อหนังสือท่องเทียว
dooasia.com แนะนำ
  เที่ยวหลากสไตล์
  มหัศจรรย์ไทยเแลนด์
  เส้นทางความสุข
  ขับรถเที่ยวตลอน
  เที่ยวทั่วไทย 77 จังหวัด
  อุทยานแห่งชาติในไทย
  วันหยุดวันสำคัญไทย-เทศ
  ศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  ไก่ชนไทย
  พระเครื่องเมืองไทย
 
 
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเกาหลี
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาว
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศจีน
 
เที่ยวภาคเหนือ กำแพงเพชร : เชียงราย : เชียงใหม่ : ตาก : นครสวรรค์ : น่าน : พะเยา : พิจิตร : พิษณุโลก : เพชรบูรณ์ : แพร่ : แม่ฮ่องสอน : ลำปาง : ลำพูน : สุโขทัย : อุตรดิตถ์ : อุทัยธานี
  เที่ยวภาคอีสาน กาฬสินธุ์ : ขอนแก่น : ชัยภูมิ : นครพนม : นครราชสีมา(โคราช): บุรีรัมย์ : มหาสารคาม : มุกดาหาร : ยโสธร : ร้อยเอ็ด : เลย : ศรีสะเกษ : สกลนคร : สุรินทร์ : หนองคาย : หนองบัวลำภู : อำนาจเจริญ : อุดรธานี : อุบลราชธานี : บึงกาฬ(จังหวัดที่ 77)
  เที่ยวภาคกลาง กรุงเทพฯ : กาญจนบุรี : ฉะเชิงเทรา : ชัยนาท : นครนายก : นครปฐม : นนทบุรี : ปทุมธานี : ประจวบคีรีขันธ์ : ปราจีนบุรี : พระนครศรีอยุธยา : เพชรบุรี : ราชบุรี : ลพบุรี : สมุทรปราการ : สมุทรสาคร : สมุทรสงคราม : สระแก้ว : สระบุรี : สิงห์บุรี : สุพรรณบุรี : อ่างทอง
  เที่ยวภาคตะวันออก จันทบุรี : ชลบุรี : ตราด : ระยอง

  เที่ยวภาคใต้ กระบี่ : ชุมพร : ตรัง : นครศรีธรรมราช : นราธิวาส : ปัตตานี : พัทลุง : พังงา : ภูเก็ต : ยะลา : ระนอง : สงขลา : สตูล : สุราษฎร์ธานี



| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์

การตั้งถิ่นฐาน

            จากหลักฐานที่พบภาชนะดินเผายุคก่อนประวัติศาสตร์ในบริเวณจังหวัดสุรินทร์ และพบแหล่งชุมชนโบราณหลายแห่ง แสดงให้เห็นว่า ในบริเวณจังหวัดสุรินทร์ ได้มีผู้คนอาศัยนานมาแล้วตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
            นักมานุษยวิทยาและนักโบราณคดีลงความเห็นว่าบริเวณที่ราบลุ่มตอนกลางของแม่น้ำมูลด้านตะวันออก และชุมชนทุ่งสำริดในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์ และลุ่มแม่น้ำชีตอนล่าง ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ยโสธรและอุบล ฯ คือ แหล่งอารยธรรมโบราณ บรรพชนของชุมชนเหล่านี้ ได้ประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผาเนื้อหยาบหนา ในยุคแรก ๆ ไม่มีลวดลายเขียนสีในยุคต่อมาได้พัฒนาเป็นการเขียนสี และชุบน้ำโคลนสีแดง นอกจากนี้ยังได้ค้นพบหลักฐานแสดงการเปลี่ยนแปลงทางคติชนวิทยาที่สำคัญของมนุษยชาติคือ ประเพณีฝังศพครั้งที่สอง โดยการบรรจุกระดูกของผู้ตาย ลงในภาชนะก่อนนำไปฝัง การฝังครั้งแรกจะนำร่างผู้ตาย ไปฝังในหลุมระยะหนึ่งแล้วจึงขุดขึ้นเพื่อทำพิธีฝังครั้งที่สอง
            ลักษณะสำคัญของชุมชนเหล่านี้อีกอย่างหนึ่งคือ โครงสร้างของชุมชนมักแบ่งออกเป็นสี่ส่วนคือ ส่วนที่อยู่อาศัยมักอยู่บนเนินดินที่ดอน พื้นที่โดยรอบเป็นที่ลุ่มสำหรับเป็นแหล่งทำกิน ด้านตะวันออกส่วนใหญ่เป็นศาสนสถาน ด้านตะวันตกเป็นป่าช้า การขยายตัวของชุมชนมักขยายไปทางทิศตะวันตก
            ชุมชนเหล่านี้มีการขยายตัวทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมือง จัดตั้งขยายเป็นชุมชนเมือง เป็นรัฐยุคต้นประวัติศาสตร์ได้หลอมรวมกันเป็นอาณาจักรเจนละ หรืออีสานปุระ มีหลักฐานแสดงความเจริญหลายอย่างเช่น การถลุงเหล็ก การทำเกลือ ปลูกข้าว การขุดคู กักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรและการป้องกันตัว
ลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์

            เมืองสุรินทร์เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติความเป็นมานาน มีหลักฐานได้แก่ คูเมืองสามชั้นมีเนินดินเป็นกำแพง สันนิษฐานว่าเป็นเมืองหน้าด่านของขอม
            ก่อนสมัยอยุธยา  เขมรเป็นชนพื้นเมืองที่เพิ่งอพยพเข้ามาอยู่สมัยอาณาจักรขอมรุ่งเรือง ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ เป็นต้นมา ภายหลังได้ผสมกลมกลืนกับชาวส่วย ที่เป็นคนพื้นเมืองเดิม และได้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่าพวกเขมรป่าดง (ข่า - เขมร) ส่วนลาวนั้นอพยพเข้ามาอยู่ในภาคอีสานของไทย เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๒๕๗ - ๒๒๖๑
            สมัยอยุธยา  กัมพูชาได้ตกอยู่ในฐานะประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา ในระหว่างปี พ.ศ.๒๑๐๓ ส่วนอาณาจักรลาวมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครเวียงจันทน์ พระเจ้าไชยเชษฐา ฯ (พ.ศ.๒๐๙๑ - ๒๑๑๑) กษัตริย์ลาวได้สร้างนครเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของล้านช้าง
            ในปี พ.ศ.๒๒๕๗ อาณาจักรลาวแยกออกเป็นสามรัฐอิสระคือหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์ เมืองจำปาศักดิ์ได้บังคับให้อัตบือ แสนปาง ส่งช้างป้อนกองทัพให้แก่จำปาศักดิ์ ทำให้ส่วยอัตบือ แสนปาง ทนไม่ได้จึงหนีข้ามลำน้ำโขง มาอาศัยกับพวกส่วยดั้งเดิมบริเวณป่าดงดิบแถบอีสานล่างคือ อุบล ฯ ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และบางส่วนของนครราชสีมา มหาสารคาม
            ชาวส่วยหลายกลุ่มพากันอพยพหนีสงคราม ข้ามมาตั้งหลักแหล่งทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง เมื่อปี พ.ศ.๒๒๖๐ แยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานและมีหัวหน้าปกครองตามที่ต่าง ๆ ที่เป็นจังหวัดสุรินทร์ในปัจจุบันคือ
                กลุ่มที่ ๑  มาอยู่ที่บ้านเมืองที ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมือง ฯ มีหัวหน้าชื่อเชียงปุม
                กลุ่มที่ ๒  มาอยู่ที่บ้านคดหวาย หรือเมืองเตา ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอรัตนบุรี มีหัวหน้าชื่อเชียงสี
                กลุ่มที่ ๓  มาอยู่ที่บ้านเมืองลึง ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอจอมพระ มีหัวหน้าชื่อเชียงวา
                กลุ่มที่ ๔  มาอยู่ที่บ้านปราขาสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ปัจจุบันคือ บ้านดอนใหญ่ อำเภอวังหิน มีหัวหน้าชื่อตกจะกะและเชียงขัน
                กลุ่มที่ ๕  มาอยู่ที่บ้านอัจจะปะนึง ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสังขะ มีหัวหน้าชื่อเชียงฆะ
                กลุ่มที่ ๖  มาอยู่ที่บ้านกุดปะไท ปัจจุบันคือบ้านขบพัด อำเภอศรีขรภูมิ มีหัวหน้าชื่อเชียงไชย
                ชาวส่วยเหล่านี้มีความชำนาญในการคล้องช้าง ทำการเกษตร หาของป่า แต่ละชุมชนมีการไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ
                ในรัชสมัยสมเด็จพระสุริยาอมรินทร์ แห่งกรุงศรีอยุธยา ช้างเผือกในเขตกรุงหนีออกมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่เขตพิมาย จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ขุนนางสองพี่น้องกับไพร่พล ๓๐ คนออกติดตามช้างมาทางแขวงเมืองพิมาย ได้รับคำแนะนำให้ไปสืบถามพวกส่วย มอญ แซก โพนช้างอยู่ริมเขาดงใหญ่ เชิงเทือกเขาพนมดงรัก เมื่อติดตามมาตามลำน้ำมูลได้พบเชียงสีหัวหน้าบ้านกุดหวาย เชียงสีได้พาไปพบหัวหน้าหมู่บ้านอื่น ๆ เพื่อจะได้ช่วยกันติดตามช้างเผือกต่อไป และได้ทราบจากเวียงฆะว่าได้พบช้างเผือกเชือกหนึ่งมีเครื่องประดับที่งา พาบริวารที่เป็นช้างป่ามาเล่นน้ำที่หนองโซกหรือหนองบัวในเวลาบ่ายทุกวัน เมื่อพากันไปยังหนองโชกก็พบช้างเผือกเชือกนั้นและจับมาได้ บรรดาหัวหน้าหมู่บ้านช่วยควบคุมช้างเผือกมาส่งยังกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้แต่งตั้งบรรดาหัวหน้าชาวส่วยให้มีฐานันดรศักดิ์คือ ตากะจะเป็นหลวงปราบแก้วสุวรรณ เชียงขันเป็นหลวงปราบ เชียงฆะเป็นหลวงเพชร เชียงปุมเป็นหลวงสุรินทรภักดี เชียงลีเป็นหลวงศรีนครเตา เชียงไชยเป็นขุนไชยสุริยางค์ แล้วกลับไปปกครองคนในหมู่บ้านของตน โดยอยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยา ขึ้นตรงต่อเมืองพิมาย
                พ.ศ.๒๓๐๖ หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) ได้ขอพระบรมราชานุญาตย้ายหมู่บ้านจากเมืองทีที่คับแคบไปตั้งที่บ้านคูประทายคือที่ตั้งเมืองสุรินทร์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่กว้างใหญ่ มีกำแพงค่ายคูล้อมถึงสองชั้นเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ระหว่างที่อยู่บ้านเมืองที หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) ได้สร้างเจดีย์สามยอด สูง ๑๘ ศอก สร้างโบสถ์พร้อมพระปฎิมา หน้าตักกว้าง ๔ ศอก ยังปรากฎอยู่ที่วัดเมืองทีมาถึงปัจจุบัน
            ต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านทั้งห้าได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงศรีอยุธยา ได้นำสิ่งของไปถวายคือ ช้าง ม้า แกนสม ยางสน นอระมาด งาช้าง ปีกนก ขี้ผึ้ง เป็นการส่งส่วยตามราชประเพณี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ จึงได้โปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้หัวหน้าหมู่บ้านสูงขึ้นคือ
                หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) เป็นพระสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางราว ยกบ้านคูประทายเป็นเมืองประทายสมันต์ ให้พระสุรินทร ฯ เป็นเจ้าเมือง
                หลวงเพชร (เชียงฆะ) เป็นพระสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ ยกบ้านอัจจะปะนึง หรือบ้านดงยางเป็นเมืองสังฆะ ให้พระสังฆะ ฯ เป็นเจ้าเมือง
                หลวงศรีนครเตา (เชียงวสี) เป็นพระนครเตา ยกบ้านกุดหวายเป็นเมืองรัตนบุรี ให้พระศรี ฯ เป็นเจ้าเมือง
                หลวงแก้วสุวรรณ (ตาจะกะ) เป็นไกรภักดีศรีนครลำดวน ยกบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดาลำดวนเป็นเมืองขุขันธ์ ให้พระไกรภักดี ฯ เป็นเจ้าเมือง
            สมัยธนบุรี  ในปี พ.ศ.๒๓๑๘ พญาโพธิสาร จากนครจำปาศักดิ์ได้ยกทัพมากวาดต้อนครัวบ้านครัวเมือง เมืองสุวรรณภูมิ เมืองตักศิลา (อำเภอราษีไศล) และเมืองศรีนครเขต (ศรีสะเกษ) ทิ้งให้เป็นเมืองร้าง
            พ.ศ.๒๓๒๑ สมเด็จพระเจ้าตากสิน ฯ โปปรดเกล้า ฯ ให้ยกทัพไปสมทบกำลังเกณฑ์เมืองขุขันธ์ เมืองสังขะบุรี และกองทัพชาวคูประทายสมันต์ ขึ้นไปตีเมืองจำปาศักดิ์ เมืองนครพนม บ้านหนองคาย และเวียงจันทน์
            พ.ศ.๒๓๒๔ ทางเขมรเกิดจลาจล มีผู้ฝักไฝ่ไปทางญวน ทางกรุงธนบุรีจึงยกทัพไปปราบปราม โดยเกณฑ์กำลังทางเมืองขุขันธ์ เมืองประทายสมันต์ (เมืองสุรินทร์) และเมืองสังขะไปช่วยปราบปราม เมืองประทายเพชร เมืองประทายมาศ เมืองรูวดำแรย์ เมืองกำปงสวาย และเมืองเสียมราฐ การปราบปรามยังไม่ราบคาบ เกิดความไม่สงบขึ้นในกรุงธนบุรี ต้องยกทัพกลับ
            ในสงครามครั้งนี้ได้มีพวกเขมรหลบหนีสงครามจากเมืองเสียมราฐ เมืองกำปงสวาย เมืองประทายเพชรและเมืองอื่น ๆ เข้ามาอยู่ในเมืองประทายสมันต์ และเมืองสังขะเป็นจำนวนมาก ดังนั้นชาวเมืองคูประทาย ซึ่งเป็นส่วยจึงปะปนกับเขมร ทำให้วัฒนธรรมเขมรเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว
            เมื่อเสร็จศึกเมืองเวียงจันทน์ และเมืองเขมรแล้ว เจ้าเมืองประทายสมันต์ เมืองขุขันธ์ และเมืองสังฆะ ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาทั้งสามเมือง
            สมัยรัตนโกสินทร์  ได้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
                พ.ศ.๒๓๒๙  ให้เปลี่ยนชื่อเมืองประทายสมันต์ เป็นเมืองสุรินทร์
                พ.ศ.๒๓๓๗  พระยาสุรินทรภักดีศรีจางวาง (เชียงปุม)  เจ้าเมืองถึงแก่กรรม นายตี บุตรชายคนโตได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระสุรินทรณรงค์ภักดีศรีณรงค์จางวาง  เจ้าเมือง
                พ.ศ.๒๓๔๗  มีตราโปรดเกล้า ฯ ให้เกณฑ์กำลังเมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ และเมืองขุขันธ์ เมืองละ ๑๐๐ รวม ๓๐๐  เข้ากองทัพยกไปตีกองทัพพม่า ซึ่งยกมาอยู่ในเขตเมืองนครเชียงใหม่ เมื่อยกกองทัพกลับก็ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนนาม พระสุรินทร ฯ (ตี)  เป็น พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์
                พ.ศ.๒๓๕๐  ทรงพระราชดำริว่า เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ และเมืองขุขันธ์ มีความชอบมาก จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ทั้งสามเมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพ ฯ มีอำนาจชำระคดีได้เอง ไม่ต้องขึ้นกับเมืองพิมาย เหมือนแต่ก่อน
                พ.ศ.๒๓๕๑  พระสุรินทรภักดี ฯ (ตี)  เจ้าเมืองสุรินทรถึงแก่กรรม หลวงวิเศษราชา (มี)  ผู้เป็นน้องชายได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระสุรินทรภักดี ฯ เจ้าเมือง
                พ.ศ.๒๓๕๔  พระสุรินทรภักดี ฯ เจ้าเมืองสุรินทร์ถึงแก่กรรม นายสุ่น บุตรพระสุรินทรภักดี ฯ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระสุรินทรภักดี เจ้าเมือง
                ต่อมาเมืองขุขันธ์ ขออนุญาตยกบ้านลังเสน เป็นเมืองกันทรลักษ์  แล้วย้ายมาอยู่ที่บ้านลาวเดิม และยกบ้านแบบ เป็นเมืองอุทุมพรพิสัย  แล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านปรือ
                พ.ศ.๒๓๖๙  เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ แต่งตั้งให้เจ้าอุปราช (สีถาน)  กับเจ้าราชวงศ์เมืองเวียงจันทน์ ยกกองทัพเข้าตีหัวเมืองรายทางเข้ามาจนถึงเมืองนครราชสีมา ทางเมืองจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ์ (โย่)  ก็เกณฑ์กำลังยกมาตีเมืองขุขันธ์แตก ส่วนเมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ ได้ป้องกันเมืองไว้ได้ และได้เกณฑ์กำลังไปสมทบกับกองทัพหลวงจนเสร็จสงคราม
                พ.ศ.๒๓๗๑  พระยาสุรินทรภักดี ฯ (สุ่น)  เจ้าเมืองสุรินทร์ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนเป็น เจ้าพระยา ส่วนเมืองสังขะ พระยาสังขะได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมือง และบุตรพระยาสังขะ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระยาสังขะบุรีนครอัจจะปะนึง
                พ.ศ.๒๓๘๕  เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์)  ได้เกณฑ์คนหัวเมืองเขมรป่าดง หัวเมืองขุขันธ์ ๒,๐๐๐ คน เมืองสุรินทร์ ๑,๐๐๐ คน เมืองสังขะ ๓๐๐ คน  เมืองศรีสะเกษ ๒,๐๐๐ คน เมืองเดชอุดม ๔๐๐ คน รวม ๖,๒๐๐ คน เกณฑ์กำลังขึ้นไปสมทบทัพกรุงเทพ ฯ ที่เมืองอุดรมีชัย ไปรบในกัมพูชา
                พ.ศ.๒๓๙๔  เจ้าพระยาสุรินทรภักดี ฯ (สุ่น)   เจ้าเมืองสุรินทร์ถึงแก่อนิจกรรม พระยาพิชัยราชวงศ์ (ม่วง)  ผู้ช่วยเจ้าเมืองผู้เป็นบุตร เจ้าพระยาสุรินทรภักดี ฯ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระยาสุรินทรภักดี ฯ ผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์
                พ.ศ.๒๔๑๒  พระยาสังขะบุรี ฯ  ขอตั้งบ้านกุดไผท เป็นเมือง  ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเมืองศีขรภูมิพิไสย ขึ้นกับเมืองสังขะ และได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยกบ้านลำดอนขึ้นไปเป็นเมืองสุรพินทนิคม ขึ้นกับเมืองสุรินทร์
                พ.ศ.๒๔๑๕ พระยาสังขะได้มีใบบอกขอตั้งบ้านลำพุกเป็นเมือง และได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเมืองกันทรารมย์ ขึ้นกับเมืองสังขะ
                พ.ศ.๒๔๒๕ พระยาสุรินทร์ ฯ ได้มีใบบอกขอตั้งบ้านทัพค่ายเป็นเมือง และได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเมืองชุมพลบุรี
                พ.ศ.๒๔๒๙ พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ข้าหลวงใหญ่เมืองจำปาศักดิ์ ได้สั่งให้พระยาสุรินทร์ภักดี ฯ ไปช่วยราชการที่เมืองอุบล อยู่ ๒ ปี เพราะเจ้าเมือง และกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ต้องไปราชการทัพที่เมืองหนองคาย
                พ.ศ.๒๔๓๒ ข้าหลวงใหญ่เมืองนครจำปาศักดิ์ ได้แต่งตั้งใบประทวนให้นายเยียบ บุตรชายพระยาสุรินทร์ภักดี (ม่วง) เป็นพระยาสุรินทร์ภักดี ฯ รักษาราชการในตำแหน่งเจ้าเมืองสุรินทร์ แต่อยู่ได้เพียง ๒ ปีก็ถึงแก่กรรม
                พ.ศ.๒๔๓๕ พระไชยณรงค์ภักดี (บุนมาก) น้องชายพระยาสุรินทร์ภักดี (ม่วง) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์
                พ.ศ.๒๔๓๖ ฝรั่งเศสได้ยกทัพขึ้นมาทางเมืองเชียงของ เมืองสีทันดรและเมืองสมโบก ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในราชอาณาจักรไทย ผู้สำเร็จราชการข้าหลวงใหญ่มณฑลอีสานได้เกณฑ์กำลังหัวเมืองสุรินทร์ เมืองศรีสะเกษ เมืองขุขันธ์ เมืองมหาสารคาม และเมืองร้อยเอ็ด เมืองละ ๘๐๐  เมืองสุวรรณภูมิและเมืองยโสธร เมืองละ ๕๐๐  เข้าตรึงการรุกรานของฝรั่งเศสทุกจุด
                ในปีเดียวกันนี้ พระไชยณรงค์ภักดี (บุนมาก) ถึงแก่กรรม ผู้สำเร็จราชการมณฑลอีสานได้แต่งตั้งหลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์(ล้อม) มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการเมืองสุรินทร์แทน
                ต่อมาพระยาพิชัยนครบวรวุฒิ (จรัญ) ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระยาสุรินทรภักดี ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.๒๔๓๘
                พ.ศ.๒๔๕๑ พระกรุงศรีบุรีรักษ์ (สุม  สุมานนท์) ได้รับแต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดสุรินทร์คนแรก
เหตุการณ์สำคัญ

            รัฐบาลได้เปิดเดินรถไฟจากนครราชสีมาไปถึงจังหวัดสุรินทร์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๗  นับแต่นั้นมา สองข้างทางรถไฟได้กลายเป็นแหล่งชุมชน มีการขยายตัวออกเป็นหมู่บ้าน และเป็นเมืองในที่สุด คนในชุมชนเหล่านั้นมีความสะดวกในการเดินทาง และสามารถขนส่งผลิตภัณฑ์ของตนออกไปยังชุมชนอื่น  เกิดการค้าขายแลกเปลี่ยนกับคนนอกชุมชน ทำให้เศรษฐกิจของจังหวัดเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีพ่อค้าชาวจีนเข้ามาตั้งยุ้งฉางรับซื้อสินค้าจากชาวพื้นเมือง เพื่อส่งไปยังนครราชสีมาทางรถไฟเป็นจำนวนมาก สินค้าสำคัญที่ส่งจากจังหวัดสุรินทร์ที่สำคัญได้แก่ ไม้พยุง ครั่ง ข้าว ไหมและสุกร เป็นต้น ส่วนโคกระบือนั้นไม่นิยมส่งทางรถไฟ
            จากการที่มีทางรถไฟผ่าน ทำให้จังหวัดสุรินทร์ สามารถติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับจังหวัดอื่นได้สะดวก ทำให้จังหวัดมีความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประชาชนหันมาประกอบอาชีพค้าขายมากขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างเห็นได้ชัดเจน
| ย้อนกลับ | บน | หน้าต่อไป |



 
 
dooasia.com
สงวนลิขสิทธิ์ © 2550 ดูเอเซีย    www.dooasia.com

เว็บท่องเที่ยว จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ ข้อมูลท่องเที่ยว ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม แผนที่ การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร จองที่พักและโรงแรมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วโลก คลิปวีดีโอ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ลาว เวียดนาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวลาว การท่องเที่ยวกัมพูชา การท่องเที่ยวเวียดนาม มรดกไทย กรมป่าไม้
dooasia(at)gmail.com ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์