วัดพนัญเชิง

0

วัดพนัญเชิง
แหล่งอารยธรรมอันล้ำค่าของเมืองไทย จะว่าไปแล้วก็มีอยู่มากมาย แต่วันนี้ที่ดูเอเซียจะพาไปเยี่ยมชมสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีความเป็นมาก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเสียอีกและยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นพระพุทธรูปนั่งองค์ที่ใหญ่ที่สุด ที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ตามมาดูกันว่าพระพุทธรูปที่ว่านี้ประดิษฐานอยู่ที่ใด เราจะพาท่านไปสักการะด้วยกัน

แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดอยุธยาส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นวัดวาอาราม วัดพนัญเชิงก็เป็นอีกที่ ที่ดูเอเซียมาเที่ยวชมและสักการะ เพราะจำได้ว่าเรื่องราวของวัดพนัญเชิงได้เคยผ่านหูผ่านตาในแบบเรียน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นในช่วงสมัยมัธยมต้น ครั้งนั้นก็ไม่ได้สนใจนัก แต่มาวันนี้ได้มีโอกาสมายังสถานที่ที่เราเคยสัมผัสผ่านเพียงตัวหนังสือ ทำให้ดูเอเซียได้รู้คุณค่าของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยขึ้นอีกเยอะ

เข้ามาภายในบริเวณวัด กว้างขวางมากสามารถจอดรถได้นับร้อยคัน วันนี้ก็คงเหมือนทุกวันที่มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสแวะเวียนเข้ามากราบไหว้และทำบุญที่วัดนี้ แม้แต่นักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติเองก็มากราบไหว้ และอีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนหลั่งไหลมาที่วัดนี้ คือองค์หลวงพ่อโต หรือที่ชาวจีนนิยมเรียกว่า ซัมปอกง (ผู้คุ้มครองการเดินทางทางทะเล) อย่างที่ดูเอเซียได้เกริ่นนำข้างต้นว่าจะพามาสักการะพระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่ที่สุด ก็องค์นี้แหละครับ “หลวงพ่อโต ที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร”เมื่อเข้ามาถึงด้านหน้าวิหาร ก่อนเข้าไปข้างในหากใครอยากทำบุญถวายสังฆทาน ด้านซ้ายมือจะมีที่จำหน่ายชุดสังฆทาน และถัดไปอีกนิดจะมีพระนั่งรับสังฆทานอยู่ 1 รูป ผ่านเข้ามาด้านในวิหารประตูที่1 ผู้คนกำลังนั่งกราบไหว้และปิดทองพระพุทธรูป เจ้าแม่กวนอิม ในโซนนี้มีบรรยากาศออกจีนๆ ด้านซ้ายยังมีทางเดินไปอุโบสถอีกหลังหนึ่งที่ติดกัน ซึ่งอุโบสถหลังนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป 5 องค์ซึ่งเป็นศิลปะสมัยสุโขทัย แต่น่าแปลกที่อุโบสถหลังนี้ไม่มีใครเข้าไป

หลังจากไหว้พระและเจ้าแม่กวนอิม บริเวณประตูที่ 1 เสร็จ ดูเอเซียเดินเข้าสู่ประตูที่ 2 ซึ่งหลังประตูนี้เองดูเอเซียได้พบกับ หลวงพ่อโต ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการบูรณะ แต่ก็ยังมองเห็นความใหญ่โตขององค์หลวงพ่อโต แต่น่าเสียดายที่ดูเอเซียไม่สามารถเก็บภาพองค์หลวงพ่อโต ได้ เพราะแฟลชของกล้องถ่ายรูปที่เตรียมไปในวันนั้นให้แสงไม่พอ แต่บอกได้เลยว่าองค์ใหญ่มากจริงๆ ซึ่งองค์หลวงพ่อโต นี้มีขนาดหน้าตักกว้างถึง 14 เมตร และสูงถึง 19.13 เมตร ด้านหน้ามีตาลปัตรหรือพัดยศและพระอัครสาวกที่ทำด้วยปูนปั้น ลงรักปิดทองประดิษฐานอยู่ด้านซ้ายและด้านขวา มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าเมื่อคราวจะเสียกรุงแก่ข้าศึก หลวงพ่อโต มีน้ำพระเนตรไหลออกมาทั้ง 2 ข้าง ส่วนด้านฝาพนังเจาะเป็นซุ้มเล็กๆและภายในซุ้มมีพระพุทธรูปขนาดเล็กประดิษฐานอยู่ บริเวณด้านในนี้มีมุมเล็กๆไว้ให้ผู้ที่ศรัทธาองค์หลวงพ่อโต ได้เช่าบูชาเหรียญและพระพุทธรูปจำลองของหลวงพ่อโต ด้วย

ออกมาบริเวณด้านนอก ติดกับแม่น้ำยังมีศาลหรือตำหนักของเทพเจ้าแห่งโชคลาภหรือที่คนจีนเรียกว่า “ไฉ่สิ่งเอี๊ย” และริมแม่น้ำนี้ยังมีตึกเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ซึ่งรูปทรงก็เป็นแบบจีน ภายในตึกเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่สร้อยดอกหมากในชุดแต่งกายแบบจีน ซึ่งชาวจีนเรียกว่า “จูแซเนี้ย” ถัดลึกเข้าไปในบริเวณด้านหลังของวัดจะมีศาลาทรงไทยที่สร้างด้วยไม้ บริเวณขื่อด้านในศาลามีภาพเขียนสีบนผ้า เป็นภาพพุทธประวัติอยู่โดยรอบ มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ภาพเขียนสีนี้เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2472 และภายในนี้มีธรรมาสน์อยู่ 1 หลังแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม เป็นศิลปะแบบรัตนโกสินทร์

บริเวณพื้นที่ที่ติดกับแม่น้ำนี้มีท่าเรือรับส่งผู้โดยสารไปยังเกาะกรุงเก่า หากท่านใดสนใจอยากนั่งเรือเที่ยวรอบเกาะ เค้าก็มีบริการจากจุดนี้ด้วย เรือลำนึงจะนั่งได้ไม่เกิน 8 คน ราคาต่อเที่ยวถ้าจำไม่ผิดอยู่ที่ 700 บาท คิดๆดูแล้วไม่แพงเลยนะ หากเฉลี่ยกันแล้วถ้าไปกันครบเต็มเรือ ค่าใช้จ่ายก็ตกคนละไม่ถึงร้อยบาท แต่หากใครไปกันแค่คนสองคน ก็หารวมกลุ่มกับท่านอื่นๆที่มาเที่ยวก็น่าจะได้นะครับ จะได้ไม่ต้องจ่ายแพงๆ หรือหากพอใจอยากจะล่องเรือแบบเป็นการส่วนตัวก็ติดต่อได้เลย บริเวณศาลาท่าน้ำ

เอาละครับพาเที่ยวชมมาจนทั่ววัดแล้วหล่ะ.. แต่ดูเอเซียก็ยังไม่ลืมที่จะหยิบยกเอาเรื่องราวของความเป็นมา ของสถานที่ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติไทยเรา ในแบบฉบับที่ถูกต้อง มาให้ท่านได้ศึกษากันหรอกครับ แต่หากใครพอจะทราบบ้างแล้วและขี้เกียจอ่าน ก็ผ่านตรงนี้ไปได้เลย..วัดพนัญเชิงวรวิหาร

ตั้งอยู่ที่ ตำบลคลองสวนพลู เป็นวัดที่มีมาแต่โบราณ ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่จากหนังสือพงศาวดารเหนือ กล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ขอพระธิดากรุงจีน มาอภิเษกด้วย ขณะที่พระนางสร้อยดอกหมาก เดินทางมาถึงบริเวณหน้าวัด พระเจ้าสายน้ำผึ้งมาปลูกพลับพลารออยู่ ได้ส่งทหารไปเชิญพระนางขึ้นมาที่พลับพลา พระนางสร้อยดอกหมาก น้อยใจที่พระเจ้าสายน้ำผึ้งไม่มารับด้วยพระองค์เอง จึงกลั้นใจตาย พระเจ้าสายน้ำผึ้ง เสียพระทัยมาก จึงสร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึก แด่พระนางสร้อยดอกหมาก และพระราชทานนามว่า “วัดเจ้าพระนางเชิง” ในพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐกล่าวว่า แรกสถาปนาวัด ได้มีการสร้างพระพุทธรูป เมื่อปี พ.ศ. 1867 คือก่อนพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา 26 ปี เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 14 เมตรเศษ สูง 19 เมตร พระพุทะรูปองค์นี้ ชาวจีนนับถือมาก เรียกว่า “ซำปอกง” แปลว่า รัตนตรัย คนไทยทั่วไป เรียก “หลวงพ่อโต ” หรือ “หลวงพ่อพนัญเชิง” เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ลงรักปิดทองในสมัยอู่ทอง องค์หลวงพ่อได้รับการบูรณะซ่อมแซมตลอดมา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และรัชกาลที่ 4 ทำการซ่อมแซมใหม่ทั้งองค์ แล้วถวายพระนามว่า “พระพุทธไตรรัตนายก” สมัยรัชกาลที่ 7 ได้เปลี่ยนพระอุณาโลมเดิมมาเป็น ทองคำหนัก 47 บาท ในปี พ.ศ. 2472

ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า “เมื่อกรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่า ครั้งที่ 2 พระพุทธรูปองค์นี้ มีน้ำพระเนตรไหลออกมาทั้งสองข้าง” มีผู้นับถือกันมากจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ที่เจ็บป่วย จะถวายให้เป็นลูกของหลวงพ่อแล้วจะหายป่วยไข้ หรือไม่ก็จุดธูปเทียนอธิฐาน ขอให้หลวงพ่อคุ่มครองรักษา บารมีของหลวงพ่อจะแผ่มาปกป้องคุ้มครองรักษาให้

ประวัติหลวงพ่อโต

พระพุทธไตรรัตนนายก ที่ชาวไทยรู้จักท่านในนาม “หลวงพ่อโต ” หรือ “หลวงพ่อซำปอกง” ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชนชาวไทยและชาวจีนทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็น “เจ้าผู้คุ้มครองทางทะเล” หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง เป็นพระพุทธรูปเนื้อปูนปั้นพุทธลักษณะ ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 7 วา 10 นิ้ว สูงตลอดรัศมี 9 วา 2 ศอก สร้างขึ้น เมื่อปีชวด พ.ศ.1867 ก่อน พระเจ้าอู่ทอง สร้างกรุงศรีอยุธยา 26 ปี ความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อโต เลื่องชื่อลือชามาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี กล่าวคือ เมื่อใกล้จะเสียกรุง หลวงพ่อโต มีน้ำพระเนตรไหลมาทั้ง 2 ข้าง เป็นลางบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า ทั้งยังแสดงอิทธิปฏิหาริย์รอดพ้นจากการเผาผลาญทำลายของข้าศึกอย่างน่าอัศจรรย์ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณวัดพนัญเชิงถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดถึง 20 ลูก แต่ไม่มีลูกใดเกิดระเบิดเลย ทั้งที่บริเวณห่างออกไปเกิดระเบิดเสียงดังตูมตาม

เมื่อเกิดโรคระบาดต่างๆ เช่น อหิวาตกโรค และไข้ทรพิษ หรือลูกเด็กเล็กแดงมีอาการ เจ็บไข้ได้ป่วยชาวบ้านจะมาขอน้ำพระพุทธมนต์ ขี้ธูป และดอกไม้บูชาองค์หลวงพ่อโต ไปดื่มกินจนหายจากโรคภัย ไข้เจ็บต่างๆทันตาเห็นพระบารมีหลวงพ่อโต ยังสามารถช่วยขจัดทุกข์ภัยตลอดทั้งดลบันดาลให้โชคลาภ กิจการเจริญรุ่งเรือง สมหวังเรื่องขอบุตร-ธิดา ดังปรารถนาทุกประการหลวงพ่อโต เป็นที่เคารพนับถือของชนชาวจีน ที่มาตั้งภูมิลำเนานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า สมัยนั้นเดินทางกันโดยทางเรือ บริเวณลำน้ำที่หน้าวัดพนัญเชิง เป็นวังวนน้ำเชี่ยวจัด เรือ แพที่สัญจรไปมามักล่มจมอยู่เสมอ พ่อค้าวานิชชาวจีนที่เดินทางมาค้าขายทางเรือ เมื่อได้กราบไหว้องค์หลวง พ่อโต ดลบันดาลให้แคล้วคลาดปลอดภัยในการเดินทาง จึงมีความเคารพนับถือ หลวงพ่อโต อย่างยิ่ง พากันขานพระนามว่า “ซำปอฮุดกง” หรือ “หลวงพ่อซำปอกง” เจ้าผู้คุ้มครองทางทะเล อภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แห่งองค์หลวงพ่อโต เป็นที่สักการะของ พระมหากษัตริย์ ประชาชนชาวไทยและชาวจีน ตั้งแต่สมัยอยุธยามาตราบเท่าทุกวันนี้

เส้นทางขอบคุณภาพ www.qrcode.finearts.go.th

เชิญแสดงความคิดเห็น