ท่องเที่ยว || เพิ่มข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว|| ดูดวงตำราไทย|| อ่านบทละคร|| เกมส์คลายเครียด|| วิทยุออนไลน์ || ดูทีวี|| ท็อปเชียงใหม่ || รถตู้เชียงใหม่
  dooasia : ดูเอเซีย   รวมเว็บ   บอร์ด     เรื่องน่ารู้ของสยาม   สิ่งน่าสนใจ  
 
สำหรับนักท่องเที่ยว
ตรวจสอบระยะทาง
แผนที่ 77 จังหวัด
คู่มือ 77 จังหวัด(PDF)
จองโรงแรม
ข้อมูลโรงแรม
เส้นทางท่องเที่ยว(PDF)
ข้อมูลวีซ่า
จองตั๋วเครื่องบิน
จองตั๋วรถทัวร์
ทัวร์ต่างประเทศ
รถเช่า
197 ประเทศทั่วโลก
แลกเปลี่ยนเงินสากล
ซื้อหนังสือท่องเทียว
dooasia.com แนะนำ
  เที่ยวหลากสไตล์
  มหัศจรรย์ไทยเแลนด์
  เส้นทางความสุข
  ขับรถเที่ยวตลอน
  เที่ยวทั่วไทย 77 จังหวัด
  อุทยานแห่งชาติในไทย
  วันหยุดวันสำคัญไทย-เทศ
  ศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  ไก่ชนไทย
  พระเครื่องเมืองไทย
 
 
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเกาหลี
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาว
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศจีน
 
เที่ยวภาคเหนือ กำแพงเพชร : เชียงราย : เชียงใหม่ : ตาก : นครสวรรค์ : น่าน : พะเยา : พิจิตร : พิษณุโลก : เพชรบูรณ์ : แพร่ : แม่ฮ่องสอน : ลำปาง : ลำพูน : สุโขทัย : อุตรดิตถ์ : อุทัยธานี
  เที่ยวภาคอีสาน กาฬสินธุ์ : ขอนแก่น : ชัยภูมิ : นครพนม : นครราชสีมา(โคราช): บุรีรัมย์ : มหาสารคาม : มุกดาหาร : ยโสธร : ร้อยเอ็ด : เลย : ศรีสะเกษ : สกลนคร : สุรินทร์ : หนองคาย : หนองบัวลำภู : อำนาจเจริญ : อุดรธานี : อุบลราชธานี : บึงกาฬ(จังหวัดที่ 77)
  เที่ยวภาคกลาง กรุงเทพฯ : กาญจนบุรี : ฉะเชิงเทรา : ชัยนาท : นครนายก : นครปฐม : นนทบุรี : ปทุมธานี : ประจวบคีรีขันธ์ : ปราจีนบุรี : พระนครศรีอยุธยา : เพชรบุรี : ราชบุรี : ลพบุรี : สมุทรปราการ : สมุทรสาคร : สมุทรสงคราม : สระแก้ว : สระบุรี : สิงห์บุรี : สุพรรณบุรี : อ่างทอง
  เที่ยวภาคตะวันออก จันทบุรี : ชลบุรี : ตราด : ระยอง

  เที่ยวภาคใต้ กระบี่ : ชุมพร : ตรัง : นครศรีธรรมราช : นราธิวาส : ปัตตานี : พัทลุง : พังงา : ภูเก็ต : ยะลา : ระนอง : สงขลา : สตูล : สุราษฎร์ธานี




  ความสัมพันธ์ของมนุษย์ก่อนประวัติ

 

 

ความสัมพันธ์ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์

 

                ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มมนุษย์ที่อยู่ห่างไกลนั้น  ได้เริ่มปรากฏตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เมื่อประมาณ  ๔.๐๐๐ -๒,๐๐๐  ปีมาแล้ว  กล่าวคือสังคมการเกษตรกรรมนั้น  มนุษย์ยุคหินใหม่ได้รู้จักการดำรงชีพด้วยการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์  ใช้งานหินขัดเป็นเครื่องมือเครื่องใช้  ขวานหินขัดที่ทำขึ้นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมีบ่า  โดยเรียนรู้เองในชุมชนและจากชุมชนอื่น

               

มนุษย์ยุคหินใหม่นี้ต่างจับกลุ่มอยู่กระจัดกระจาย  ในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้  เช่น  ตามลุ่มแม่น้ำคงคาในอินเดีย  ตามลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในไทย  และตามลุ่มแม่น้ำต่าง ๆ  ของจีน  เป็นต้น

               

รูปแบบของขวานหินขัดและขวานหินมีบ่านั้น  ได้มีการศึกษาถึงการแพร่กระจาย  ซึ่งปรากฏว่า  เผ่ามองโกลอยด์พวกหนึ่งที่พูดภาษากลุ่มออสโตรเอเชียติค  ซึ่งเป็นกลุ่มของภาษามอญ  เขมร  ภาษาญวน  และภาษามุณฑะ  นั้นใช้ขวานหินมีบ่าและอาศัยอยู่ในจีนผืนแผ่นดินใหญ่เผ่ามองโกลลอยด์ที่เป็นกลุ่มภาษาออสโตรนิเซียน  เป็นภาษากลุ่มหนึ่งทวีปเอเชีย   ใช้ขวานหินขัดมีด้านตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า  อาศัยอยู่ตามเกาะที่พูดภาษาอินโดจีน    และอยู่บนบกได้แก่  พวกจาม  ดังนั้น  การที่ชุมชนในแถบนี้มีการใช้ขวานหินขัดและขวานหินมีบ่านั้น  จึงเข้าใจว่า  น่าจะมาจากเส้นทางที่การติดต่อกันทางน้ำ  หรือทางทะเลระหว่างกลุ่มมนุษย์ที่อยู่ทางอินเดีย  และมนุษย์กลุ่มอื่น ๆ ในบริเวณเอเชีย

               

เมื่อ ๒,๕๐๐  ปีมาแล้ว  ชุมชนของมนุษย์ก่อนประวัตศาสตร์ตอนปลาย  ได้พบว่ามีการแพร่กระจายวัฒนธรรมจากแหล่งอื่น  เช่น  วัฒนธรรมการใช้มโหระทึก  หรือกลองกบ  ในวัฒนธรรมดองชอน  ที่เกิดทางเวียดนามตอนเหนือและยูนานนั้น  พบว่าได้มีการกระจัดกระจายไปยังชุมชนอื่น ๆ  ในพุทธศตวรรษที่  ๑ หรือ ๕๐๐  ปีก่อนคริสต์ศักราชนั้น  พบว่ามโหระทึก  หรือกลองกบนั้นได้แพร่กระจายเข้าไปในแผ่นดินใหญ่  หมู่เกาะเอเชียตะวันออก  พบมากในมาเลเซียและหมู่เกาะซุนดา

สำหรับประเทศไทยนั้น  ได้พบกลองกบหรือมโหระทึกหลายแห่ง  ดังนี้

 

·        ภาคเหนือ  ที่อุตรดิตถ์

·        ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ที่นครพนม  มุกดาหาร  กาฬสินธ์  อุบลราชธานี

·        ภาคกลาง  ที่กาญจนบุรี  ราชบุรี  และตราด

·        ภาคใต้  ที่ชุมพร สุราษฎร์ธานี  นครศรีธรรมราช  และสงขลา

 

มโหระทึกหรือกลองกบนี้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีในสังคมเกษตรกรรม  ในพิธีขอฝนจะเห็นว่าบนหน้า

กลองนั้นมีการทำเป็นรูปกบช้อนกันอยู่  ๔  มุม  และภายหลังกลองได้ถูกนำมาใช้ในพระราชพิธีของกษัตริย์

สำหรับความเชื่อมนุษย์สมัยนี้มีความเชื่อถือในเรื่องผีหรือสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ  ซึ่งกลุ่มมนุษย์หลายเผ่าพันธุ์ต่างผูกพันความเชื่อในเรื่องผีที่แตกต่างกัน  ติ่งที่มนุษย์มีความเชื่อเหมือนกันคือ  งูกับกบ  ซึ่งอาจเกิดจากการแพร่ขยายความเชื่อนี้หรือนำวัฒนธรรมเข้าไปใช้ในกลุ่มชนเผ่าของตนความเชื่อเรื่องงูนั้น  มนุษย์ส่วนมากมีความเชื่อในอำนาจของสัตว์ที่มีพิษร้ายและทำให้เกิดอาการรุนแรงที่เป็นอันตราย  จนมนุษย์ถึงแก่ความตายได้ในทันที  หรือยากที่จะหาวิธีแก้ไขได้ทัน  ด้วยเหตุนี้งูจึงเป็นสัตว์ที่ที่มีพิษร้ายและอำนาจ  โดยเฉพาะในเขตร้อนนี้  งูจึงอาศัยอยู่ชุกชุม  จนทำให้มนุษย์พากันเกรงกลัว  จึงพากันบูชางู  สัตว์ที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ และงูนั้นแม่หลีกแหล่งอยู่ใต้ดินลึกจึงเป็นสถานที่ต้องห้ามในชื่อที่รู้จักกันว่า  บาดาล  ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งที่ทำให้เกิดน้ำจำนวนมากขึ้นมาจากดิน  โดยที่งูหรือพญางูหรือพญานาคเป็นเจ้าของ  ทำให้แผ่นดินได้เกิดแหล่งน้ำสำคัญ  ที่ผุดออกจากใต้ดิน  (น้ำบาดาล)  หรือพุพองจากใต้ดินเป็นน้ำซึม  น้ำซับ  และน้ำพุ    ที่ทำให้เกิดแหล่งน้ำขนาดใหญ่บนแผ่นดินสร้างความชุ่มชื่นแก่บริเวณที่เพาะปลูก  จึงเป็นเหตุให้มนุษย์พากันเคารพนับถืองู  เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์ และมีฤทธิ์ที่ทำอันตรายได้  จึงมีการจัดพิธีขึ้นเพื่อเซ่นวักงู  ให้เป็นผีที่ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดช  อย่าให้ทำอันตรายและขอให้ปกป้องคุ้มครองภัยแก่มนุษย์

 

ด้วยเหตุนี้สัญลักษณ์รูปงูจึงปรากฏอยู่ทั่วตามภาชนะดินเผาที่มีลายรูปงู  ประกอบกับลายเส้น

โค้งที่เป็นสัญลักษณ์ของสายน้ำด้วย  ลายเขียนสีของบ้านเชียงนั้นมีลักษณะลวดลายคล้ายจะถ่ายทอดลายน้ำและงูไว้ด้วย  ลวดลายนั้นได้มีการทำมาใช้เขียนบนภาชนะดินเผาในสมัยทราวดีด้วย  ในสมัยหลังได้มีการเขียนถึงที่เป็นอันตรายเพิ่มขึ้นอีก  เช่น  จระเข้  ทำนองเดียวกับ  อียิปต์  นั้น  นับถือจระเข้  เป็นเทพเจ้าแห่งแม่น้ำไนต์

 

ส่วนความเชื่อเรื่อง  กบ  นั้นเนื่องจากเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ปรับสภาพไดตาฤดูกาล  ทั้ง

หน้าฝนและหน้าแล้ง  จนมนุษย์นั้นมีความเชื่อว่ากบเป็นผู้นำน้ำมาจากท้องฟ้าให้ไหลล่นลงมาบนพื้นดิน  ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์มีความต้องการน้ำ (ฝน)  จากท้องฟ้าในยามที่ขาดน้ำ และทำการเพาะปลูกทำให้กบได้รับยกย่องให้เป็นสัตว์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์  และมีฤทธิ์บันดาลน้ำให้ความสมบูรณ์แห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร  จึงพากันเซ่นไหว้กบ   (รวมถึงคางคกด้วย)  ในฐานะเป็นผีหรือเทวดาสำคัญที่ให้น้ำท่าบริบูรณ์ได้ด้วยเหตุนี้วิธีบูชากบจึงเกิดขึ้น  กล่าวคือ  มีพิธีบูชากบ  โดยการแต่งตัวโดยเอาโคลนทาลำตัวและแขนขาให้มีลวดลายอย่างงาม  แล้วทำพิธีในท่าเต้นอย่างย่อขาสองขาทำท่าอย่างสงบ  โดยมีการเซ่นวักด้วยเครื่องมือทำมาหากินประเภท  มีด  พร้า  ขวาน  คันไถ  เป็นต้น

 

นอกจากนี้พบว่าเครื่องประดับประเภท  ตุ้มหู  ทำด้วยหินสีขาว  ๒  แบบ  คือ  ตุ้มหูรูปสัตว์  ๒

ตัว  และตุ้มหูรูปกลมที่มีดอกไม้ตูมยื่นออกมา  ๓  ตุ้ม  ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่เรียกว่า  ลิง-ลิง-โอ (LING- LING-O)  ในวัฒนธรรมซาหุญ (SA  HUYNH)  ของยุคโลหะที่เจริญรุ่งเรืองในพุทธศตวรรษที่  ๑-๕ หรือ  ๕๐๐-๑๐๐  ปีก่อนคริสต์ศักราชนั้น  ได้มีการกระจายแพร่ไปยังชุมชนต่างๆ  เช่น  ในเวีนดนามตอนกลางที่บริเวณมณฑลกวงหนำ – ตานัง  และมณฑลกวงงายในฟิลิปปินส์พบที่ถ้ำดูยอง  และถ้ำตาบอน  ในมาเลเซียพบที่ถ้ำนีอารห์  ในประเทศไทยพบที่แหล่งโบราณคดีสามเขาแก้ว  ชุมพร  อู่ทอง  ดอนตาเพชร  เป็นต้นด้วย

 

เช่นเดียวกัยลูกปัดหินประเภทหินคารเนเลียน  หินโอนิกซ์  และหินอาเกต  และลูกปัดแก้วสี

ต่าง ๆ  ที่มีแหล่งผลิตอยู่ในอินเดียนั้น  ได้มีการแพร่กระจายเข้ามาอยู่ในแหล่งโบราณดคีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายแหลายแห่ง  แม้จะเป็นส่วนที่เคลื่อนย้ายได้ง่ายก็ตาม  ได้สำรวจพบจากแหล่งโบราณคดีที่ขุดค้นหลุมฝั่งศพพบ  ลูกปัดแก้ว  ทำด้วยหินคาร์เนเลียนหินโอนิก  และหินอาเกต  ชนิดที่นำทั้งแบบเรียบและแบบตกแต่งด้วยสกัดผิวก่อนแล้วฝังสีลงเป็นลวดลายสวยงาม  โดยพบในชั้นดินของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย  ประมาณ  ๓๐๐-๕๐  ปีก่อนคริสต์ศักราช

 

นอกจากนี้ยังได้รับความรู้และประเพณีต่างที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์อีก 

กล่าวคือเมื่อ  ๑,๐๐๐  ปีก่อนคริสต์ศักราชนั้นซึ่งเป็นสมัยก่อนอารยันนั้น  ชุมชนมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ก่อนมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมร่วมกันหลายด้าน  ได้แก่  การทำนาโดยวิธีการทดน้ำเข้านา  การเลี้ยววัวและควายใช้งาน  มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโลหะและความชำนาญในการเดินเรือของกลุ่มอินโดนีเซียและชาวมลายู  การให้ความสำคัญกับผู้หญิง  การปกครองอันมีระบบอันสืบจากากรเพาะปลุกที่มีการทดน้ำ  การนับถือผี  การเคารพบูชาบรรพบุรุษ  และเจ้าแห่งพื้นดิน  การสร้างศาสนาขึ้นบนที่สูง  การฝังศพในไหหินหรืออนุสาวรีย์หิน  เป็นต้น  ประเพณีในลักษณะดังกล่าวได้กระจายและเกิดขึ้นในชุมชนต่าง ๆ  หลายแห่ง  แม้จะอยู่ต่างภูมิภาคกัน

 

ในพุทธศตวรรษที่ ๓-๕  สมัยก่อนประวัติศาสตร์  ซึ่งเป็นยุคเหล็กตอนปลายของอินเดียนั้นกษัตริย์

ราชวงศ์โมริยะปกครองอินเดียตอนเหนือ  ได้ส่งเสริมให้มีการค้าขายกับต่างชาติ  โดยตั้งเมืองตักษิลา  อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ  เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าตามพรมแดนอินเดีย –ปากีสถาน  โดยมีเมืองท่าที่สำคัญ  เช่น  เมืองคูณปารกะ  เมืองภรุกัจฉะ  (บาริกาซา) และเมืองตามรลิปติ (ตัมลุก)  เป็นเมืองท่าสำคัญติดต่อกับดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ดังนั้นสินค้าที่พ่อค้าอินเดียนำไปนั้นมีมากมายและเสื่อมสลายได้ง่าย  จึงมีลูกปัดที่คงทนและพบว่าได้

กระจายอยู่ทั่วตามแหล่งโบราณคดีที่เคนติดต่อกับอินเดีย  เช่น

 

·        แหล่งโบราณคดีในพม่า  ที่ตวงถาเมน  ในพม่า

·        แหล่งโบราณคดีในไทย  ภาคกลางที่ริมแควน้อยบ้านเก่า  ถ้ำองบะ  ดอนตาเพชร

ศูนย์กลางทหารปืนใหญ่  ท่าแค  โคระกา  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่บ้านเชียง  บ้านนาดี  บ้านโนนเมือง  บ้านธารประสาท  บ้านโตนด  ภาคใต้  ที่เขาสามแก้ว  ควนลูกปัด  เป็นต้น

·        แหล่งโบราณคดีในกัมพูชา  ที่สำโรงเสน

·        แหล่งโบราณคดีในเวียดนาม  ที่โดลาญ  เป็นวัฒนธรรมซาหุญ

·        แหล่งโบราณคดีในมาเลเซีย  ที่ถ้ำนีอาห์

·        แหล่งโบราณคดีในอินโดนีเซีย  ที่เกาะสุมาตรา  ชวา  บาหลี  และบอร์เนียว

·        แหล่งโบราณคดีในฟิลิปปินส์  ที่ถ้ำตาบอนเกาะปาลาวัน

·        แหล่งโบราณคดีในลาวที่บ้านอ่าง  บ้านโชค  บ้านเสือ

 

จากากรสำรวจลูกปัดที่เป็นวัฒนธรรมของอินเดีย  ในแหล่งโบราณคดีดังกล่าวเป็นหลักฐานที่เชื่อว่า

สินค้าจากอินเดียนั้นได้แพร่กระจายในพื้นดินสุวรรณภูมิมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์  และปรากฏมีจำนวนมากขึ้นในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายเริมสมัยประวัติศาสตร์คือ  เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๕-๙  หรือ ๕๐  ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. ๓๐๐  ซึ่งเป็นระยะที่กษัตริย์ราชวงศ์กุษาปณะปกครองอินเดียตอนเหนือ  (พุทธศตวรรษที่ ๕-๘)  และมีกษัตริย์ราชวงศ์ศาตวาหนะปกครองอินเดียภาคตะวันตก  (พุทธศตวรรษที่ ๔-๘)  ซึ่งเป็นช่วงทีอินเดียมีการค้าขายกับอาณาจักรโรมันอย่างจริงจัง  ทำให้มีนิคมการค้าและถิ่นฐานชาวโรมันอยาตามเมืองท่าสำคัญของอินเดีย

                       

ด้วยเหตุนี้สินค้าจากอินเดียที่ส่งมาขายยังเมืองต่าง ๆ  ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นจึงมีสินค้าของอินเดียเอง คือ  ลูกปัดหินคาร์เนเลียน  อาเกต  มีทั้งทำแบบเรียบและลวดลาย  ภาชนะสำริด  หวีงาช้าง  ลูกเต๋า  ทำจากงาหรือกระดูก

               

ส่วนสินค้าจากตะวันออกนั้นมีลูกปัดแก้วมีแถบสี  ลูกปัดแก้วแบบลูกปัดมีตา  ซึ่งทำแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  สินค้าจากอาณาจักรโรมัน เช่น  ตะเกียงโรมัน  หัวแหวนสลักหินมีค่า  ภาชนะดินเผาผิวสีแดงตกแต่งลายประทับ  และแบบกดรอยยักฟันเฟือง

 

                การสำรวจนั้นพบว่าสินค้าดังกล่าวจำนวนหนาแน่นมากในพื้นที่ภาคกลางของไทยที่พงตึก  จันเสน  อู่ทอง  เนินมะกอก  ภาคใต้พบตั้งตาเขาสามแก้วที่ชุมพร  แหลมโพธิ์ที่สุราษฎร์ธานีไปจนถึงเกาะคอช้างที่พังงา  ที่คลองท่อมที่กระบี่  แล้วยังพบลงไปจนถึงคาบมหาสมุทรมาเลเซีย  ในมาเลเซียพบที่กัวลาเซลินชิง  บูกิต  เตงกู  เลมบู  ในอินโดนีเซียพบที่เมืองโบราณตารุมา  อยู่ที่เกาะชวาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  และเกาะบาหลีตอนเหนือ  ตั้งแต่พม่า  พบที่เมืองโบก์ถไนไปจนถึงเวียดนามพบที่ออกแก้ว  เป็นต้น  ทำให้รู้ว่าสินค้าจากตะวันตกนี้ได้กระจายไปตามแหล่งโบราณคดีดังกล่าว

               

นอกจากนี้ชาวอินเดียยังได้นำมาเผยแพร่วิทยาการที่ได้มาจากวัฒนธรรมอินเดียผสมผสานกับวัฒนธรรมชาติอื่น  เช่น  กรีก  โรมัน  เปอร์เซีย  มาเผยแพร่ด้วยจึงทำให้ชุมชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เอาแบบอย่างทำตามเช่น

               

ในการใช้เหรียญกษาปณ์ตามแบบโรมันใช้เป็นสื่อกลางซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน  ต่อมาในพุทธศตวรรษที่  ๑๒-๑๖  กษัตริย์ที่ปกครองพื้นที่นั้นได้ทำการผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นใช้เองแต่ยังใช้เป็นเครื่องหมายที่เป็นมงคลตามความเชื่ออย่างชาวอินเดีย

               

ระบบสื่อสารที่การใช้ตราประทับเป็นสื่อกลางแสดงความสำคัญของกษัตริย์  สถาบันศาสนา  และหมู่คณะเพื่อผลทางการเมือง  การค้าขายและศาสนา  ตามแบบชาวกรีก  ชาวโรมันและชาวเปอร์เซียนิยมใช้กันนั้นได้ถูกเผยแพร่และผู้นำชุมชนในพื้นที่ได้นำผลิตคราประทับขึ้นเองและใช้เป็นสัญลักษณ์  สำหรับสื่อความหมายกับชุมชนต่อมา

               

การใช้อิฐและหินในการก่อสร้างศาสนาสถาน  ศาสนาวัตถุ  แบบชาวกรีก และแบบเปอร์เซียที่นิยมใช้

สร้างงานศิลปกรรม  มาตั้งแต่ยุคเหล็กตอนปลายนั้น  ได้นำมาเผยแพร่และมีการสร้างศาสนาสถานตามในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

               

นอกนี้ชาวอินเดียยังไม่ได้นำรูปแบบ  เครื่องมือเครื่องใช้  เครื่องประดับ  และอุปกรณ์  การกีฬามาใช้ในสถานีการค้าของตนและในสถานที่ชาวอินเดียตั้งบ้านเรือนอยู่  ต่อมาได้มีการผลิตโดยเลียนแบบโดยชาวพื้นเมือง  ที่ได้รับความนิยมที่สืบทอดการมา

 

ระบบการปกครองที่อินเดียได้รับอิทธิพลมาจากราชวงศ์อาคีเมนิคของเปอร์เซีย  และกษัตริย์

ราชวงศ์โมริยะได้นำมาปรับใช้จนสามารถสร้างรูปแบบการปกครองระบบกษัตริย์และจัดตั้งรัฐตามแบบอย่างอินเดียขึ้นนั้น  ได้นำมาเผยแพร่ในสังคมเมืองจีนมีการนำมาใช้สร้างเมืองและรูปแบบการปกครองในแถบนี้ขึ้น

 

ศาสนาของอินเดียที่นับถือทั้งศาสนาที่นับถือทั้งศาสนาพรมหมณ์และศาสนาพุทธนั้นได้ถูนำมาเผยแพร่ในช่วง  ๕-๖  ซึ่งเป็นระยะที่อินเดียมีการค้าขายกับอาณาจักรโรมัน )สมันอินโด – โรมัน)  ทำให้พ่อค้าชาวพุทธจากศูนย์กลางพุทธศาสนาในบริเวณกลุ่มแม่น้ำกฤษณาโคทาวารี  ที่ราชวงศ์ศาตวาหนะ (พุทธศตวรรษที่ ๕-๘)  และราชวงศ์อักษะวากุ  (พุทธศตวรรษที่ ๘-๑๐)  ดิอุปถัทป์ต่อมาตามลำดับนั้น  ได้มีบทบาทสำคัญทางการค้าและได้เผยแพร่พุทธศาสนาไปรังบริเวณตะวันออกเฉียงใต้

 

รูปแบบตัวอักษรในอินเดียที่ใช้ภายใต้ในราชวงศ์ปัลลวะ  เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒  ได้ถูกมาเผยแพร่  จึงพบว่ามีจารึกอักษรจากอินเดียอยู่ในเมืองโบราณของอินเดียในจารึกหลายหลัก  เช่น  จารึกอักษรปัลลวะ  ที่พบในเมืองบึงโคก  จ.อุทัยธานี

               

นอกจากนี้ภาษาสันสกฤตที่อินเดียใช้มนคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์  และพุทธศาสนา  นิกาย

มหายานนั้น  ได้ถูกนำมาใช้เป็นภาษาในอาณาจักรที่ได้รัยอิทธิพลจากอินเดียโบราณ และภาษาบาลีที่เป็นภาษาใช้พระไตรปิฎกของพุทธศาสนานิกายเถรวาท  ก็ถูกนำมาจารึกในหลักธรรมพระพุทธศาสนาในอาณาจักรทวาราวดี

 

สรุปแล้วสมันก่อนประวัติศาสตร์นั้นประกอบด้วยภูเขาและที่ราบ  ดังนั้นชุมชนหรือกลุ่มคนที

ทำการเพาะปลุกโดยการทดน้ำ  ก็มักจะเลือกพื้นที่ที่ทำเลใกล้แม่น้ำลำคลองสำหรับนำน้ำมาใช้  และตั้งชุมชนใกล้น้ำ  เพื่อสร้างบ้านสร้างเองและสร้างกำลังทางเศรษฐกิจและทหารให้มั่นคง  ครั้นเมื่อมีกำลังมากขึ้นก็ขยายเมืองโดยใช้กำลังทางเศรษฐกิจและการทหารให้มั่นคง  ครั้นเมื่อกำลังมากขึ้นก็ขยายเมืองโดยใช้กำลังโดยการขับไล่ชุมชนอื่นที่มีกำลังด้อยกว่าให้ขึ้นไปอยู่บนภูเขาที่สูงกันดารแห้งแล้งและป่าลึก  หรือแผ่อำนาจและสร้างความเจริญให้จนเมืองอื่นยอรับเป็นพวกหรือขอพึ่งพาอาศัยอำนาจนั้นป้องกันตนเอง

 

การแสดงหาสินค้าและวัตถุดิบหรือติดต่อค้าขายกันนั้น  ได้ทำให้ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ได้เป็นเส้นทางผ่านของพ่อค้า  นักเดินทางจากยุโรปและอินเดียที่จะเดินทางต่อไปยังประเทศจีนเป็นเส้นทางที่ถูกใช้กันมาตั้งแต่ครั้งโบราณทั้งเส้นทางน้ำและทางบก

 

เส้นทางการเดินเรือทางทะเลไปบริเวณตะวันออกเฉียงใต้นั้น  ต้องผ่านช่องแคบมะกา  ที่อยู่ระหว่าแหลมมาลายูกับเกาะสุมาตราหรือช่องแคบซุนดาอยู่ระหว่างเกาะสุมาตรากับชวา  จึงทำดินแดนที่อยู่ในเส้นทางเดินเรือดังกล่าวนั้นมีเมืองตั้งอยู่กลายแห่ง  สำหรับในเรือทะเล  ใช้จอดแวะ  จึงทำให้เมืองท่าเหล่านั้นเจริญรุ่งเรืองเป็นแหล่งเศรษฐกิจใหญ่  จึงสร้างเมืองให้เป็นเมืองป้อมค่ายหรืออาณาจักรปกครองตนเองได้  เช่นเมืองมะริด  เมืองตะโกลา  เมืองมะละกา  และอาณาจักรอะแจ  ซึ่งอยู่ตอนเหนือของเกาะสุมาตราตอนต้น

 

เนื่องจากการเดินทางสมัยก่อนนั้นนิยมการใช้เรือใบ  ซึ่งต้องอาศัยทิศทางลมที่มักจะเปลี่ยนทิศทางไปตามฤดูกาล  ดังนั้นที่พ่อค้าที่เดินทางจากอินเดียมายังเมืองมะละกา  จึงต้องเวลาในทะเลจนกว่าลมจะพัดกลับทิศทาง  เพื่อสามารถให้เรือแล่นใบกลับไปยังอินเดียได้  ประกอบกับการมีโจรสลัดชุกชุมในบริเวณช่องแคบทั้งสอง  จึงทำให้มีการใช้เส้นทางเดินบกเพ่อเดินทางลัดเข้าเส้นทางผ่านคาบสมุทร  ซึ่งเสียเวลาน้อยกว่าและไม่ต้องรอดูฤดูกาลที่ลมจะเปลี่ยนทิศทาง

 

เส้นทางบกที่ใช้ข้ามสมุทรนั้นมีหลายเส้นทาง  ได้แก่เส้นทางระหว่ามะริด  กับเพชรบุรี  เส้นทางระหว่างตรังกับอ่าวบ้านดอนผ่านแม่น้ำตาปีเส้นทางระหว่าตรังกับนครศรีธรรมราชผ่านทุ่งสง  เส้นทางระหว่างคลองลาว  อำเภออ่าวลึก  จังหวัดกระบี่  ไปทางคลองชะอุ่นออก  แม่น้ำตาปีไปบ้านดอน  เส้นทางระหว่างคลองท่อม  จังหวัดกระบี่  ไปทางคลองสินปุน  ผ่านบ้านปางปลาตาย  อำเภอพระแสงไปทางแม่น้ำตาปีออกบ้านดอน  ซึ่งเป็นท่าจอดเรือใหญ่ในสมัยโบราณ  เป็นต้น

               

เส้นทางอื่นนอกนั้นก็มีเส้นทางระหว่างเคดาห์กับปัตตานีและสงขลา  เป็นต้น  และบางเส้นทางสามารถใช้ช้างเกวียนหรือเรือเล็กเป็นพาหนะโดยใช้เส้นทางสำคัญผ่านแม่น้ำตาปีออกสู่อ่าวบ้านดอน

                ดังนั้นเมื่อมนุษย์มีการเคลื่อนย้ายและเดินทางไปตามเส้นทางที่เคยใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณเช่นนี้  ก็ย่อมแสวงหาสถานที่ตั้งถิ่นฐาน  เมื่อพบแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์มั่งคงและสามารถดำรงในสังคมนั้นได้แม้จะอยู่ในอำนาจของชนชาติอื่น  ก็รวมตัวกันสร้างชุมชนเมืองขึ้นหาหนทางเริ่มต้นเป็นอิสระที่สุด  การจัดระบบสำหรับดูแลกลุ่มคนให้อยู่ในพื้นที่ได้ต่อไปโดยรู้จักวิธีการป้องกันภัยธรรมชาติ  รู้วิธีป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ  และรู้จักทำมาหากินเลี้ยงตัวเองนั้น  จึงเป็นพื้นฐานของมนุษย์ในการตั้งชุมชนเมือง

               

ส่วนการอพยพเคลื่อนย้ายจากแหล่งเดินทางตอนเหนือของดินแดนสุวรรณภูมิ  โดยเฉพาะจากมณฑลยูนานและทางแถบตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง  กวางลี  และภาคเหนือของเวียตนามนั้น  ได้มีเส้นทางบกที่สามารถเข้ามาได้ทุกทิศ  ที่เข้าสู่บริเวณที่ราบสองฝั่งแม่น้ำโขง  แล้วจึงเดินทางต่อไปยังดินแดนอื่น ๆ ต่อไป

               

สำหรับเส้นทางทะเลนั้น  มีการเดินทางมาจากทางตะวันตก  ทางใต้และทางตะวันออก  โดยลัดเลาะตามชายฝั่งทะเลโดยเรื่อเดินทะเล  โดยเฉพาะเส้นทางด้านตะวันออกนั้น  มากจากแถบกวางตุ้ง  กวางสี  และเวียดนามได้เดินเรือเล็กเรียบชายฝังเข้าสู่อ่าวไทยมาจนถึงที่ราบลุ่มของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง

 

แนะนำข้อมลเพิ่มเติม ความสัมพันธ์ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์

เชิญแนะนำข้อมูลเพิ่มเติม

ชื่อ / Email
ข้อความ
  

 


 
 
dooasia.com
สงวนลิขสิทธิ์ © 2550 ดูเอเซีย    www.dooasia.com

เว็บท่องเที่ยว จองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินออนไลน์ ข้อมูลท่องเที่ยว ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม แผนที่ การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร จองที่พักและโรงแรมออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ตทั่วโลก คลิปวีดีโอ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ลาว เวียดนาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวลาว การท่องเที่ยวกัมพูชา การท่องเที่ยวเวียดนาม มรดกไทย กรมป่าไม้
dooasia(at)gmail.com ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย. สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์