น้ําตกบัวตองและน้ําพุเจ็ดสี

0

หากพูดถึงน้ำตกที่สวยงาม น้ำใสเห็นพื้นทรายเบื้องล่างในจังหวัดเชียงใหม่  สถานที่แรกที่ผุดเข้ามา คือน้ำตกบัวตองครับ ทั้งสวยใสเล่นได้ค่อนข้างปลอดภัยมาก เพราะสายน้ำที่ไหลมานาน  ได้นำพาน้ำแร่ซึ่งมี แคลเซียมคาร์บอเนต จากพื้นดินที่มีตาน้ำอยู่ที่ชาวบ้านเรียกจุดนี้ว่าน้ำพุเจ็ดสี  น้ำใสๆ ที่พุ่งขึ้นมานี้ได้ไหลรวมกันเป็นลำธารและน้ำตก นานๆ เข้า น้ำแร่ได้ทำให้ลำธารแข็งขึ้น เพราะมีแคลเซียมคาร์บอเนตเคลือบอยู่ รวมทั้งน้ำตกที่สามารถปืนป่ายได้โดยไม่ต้องกลัวลื่น ดูสวยงามน่าชมภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ เย็นสบายทุกครั้งที่มาเยือน

bourtong_02bourtong_06

ด้วยความที่น้ำตกบัวตองนั้นมีความสวยงาม และเป็นน้ำตกหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) น้ำใสไหลเย็นตลอดปี จึงเป็นแหล่งพักผ่อนที่สำคัญของชาวบ้าน และผู้ที่มักเดินทางไปอำเภอพร้าว ตัวน้ำตกมีความสูงประมาณ 100 เมตร มี สองชั้น ลำธารน้ำตกจะไหลไปลงห้วยแม่ป๋อน

bourtong_08 bourtong_03 bourtong_04bourtong_12 bourtong_11 bourtong_10 bourtong_09

น้ำพุเจ็ดสี

ส่วนน้ำพุเจ็ดสีต้องเดินแยกจากตัวน้ำตกบัวตองไปอีก 500 เมตร เป็นจุดตาน้ำมีลักษณะเป็นบ่อขนาด 6 X 8 เมตร มีน้ำใสมากๆ ไหลพุ่งออกจากใต้ดินตลอดปี น้ำที่พุ่งออกมาใสมากจนเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์และมองในลักษณะมุมเอียงจะเห็นเป็นประกายรุ้งสวยงาม  และถือเป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำที่ทำให้เกิดน้ำตกบัวตอง  บริเวณน้ำพุงเจ็ดสีจะมีเรื่องราวตำนานของน้ำตกบัวตองและน้ำพุให้ศึกษาด้วยครับ

ทริป

วนอุทยานน้ำตกบัวตอง- น้ำพุเจ็ดสี ไม่มีที่พักให้ค้างแรม แต่จะมีลานกางเต้น ครับ ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขออนุญาต และน้ำอาหารไปเองด้วยนะครับ

7color_027color_04บ่อน้ำพุเจ็ดสี
7color_05 7color_06

การเดินทาง

การไปเที่ยวน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสีควรนำรถไปเองครับ เดินทางไปตามถนนสายเชียงใหม่ – อำเภอพร้าว ไปทางเดียวกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้แต่ขับเลยมหาวิทยาลัยแม่โจ้ไปอีกประมาณ 40 กม.  ตรงหลักกิโลเมตรที่ 48 – 49 ก็จะมีทางแยกขวามือเข้าไปวนอุทยานน้ำตกบัวตอง-น้ำพุเจ็ดสี เข้าไปประมาณ 3 กม. ถนนแคบและโค้งครับ

 

  ตำนานน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสี” 

               ตำนานน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสี ในอดีตกาลยังมีเมืองเมืองหนึ่งได้ทำศึกสงครามรบราฆ่าฟันกันเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ในแคว้นล้านนาตอนบน ซึ่งมีเจ้าเมืองและพระมเหสีถูกสังหารเสียชีวิต เหลืออยู่แต่พระธิดา 2 พระองค์ คือ พระธิดาบัวแก้ว – พระธิดาบัวตอง และมีขุนผาดำคนสนิทของเจ้าเมืองที่พาพระองค์ทั้ง 2 พระองค์หลบหนีพร้อมกันนี้กันได้รวบรวมพลเมืองและชาวบ้านที่รอดตายหนีล่นลงมาทางใต้ เพื่อให้รอดพ้นจากการติดตามของข้าศึก

ตำนานน้ำตกบัวตอง-น้ำพุเจ็ดสีจนกระทั่งมาพบถ้ำแห่งหนึ่งเห็นว่ามีความปลอดภัยดี จึงให้พระธิดาทั้ง 2 พระองค์อาศัยอยู่ในถ้ำพร้อมด้วยบริวารและคนรับใช้ของพระธิดา ซึ่งถ้ำดังกล่าว ปัจจุบันเรียกว่า “ถ้ำบัวตอง” ส่วนพวกชาวบ้านที่อพยพมาพร้อมกับพระธิดาทั้ง 2 พระองค์ก็ได้ปลูกกระต๊อบอยู่รอบๆทางด้านหน้าถ้ำและหลังถ้ำ เพราะเป็นพื้นที่ที่มักแก่การเพาะปลูก ซึ่งบริเวณที่พวกนางอาศัยอยู่นั่นยังขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ พระธิดาทั้ง 2 พระองค์จึงได้อธิฐานขอให้เทวดาเนรมิตให้เกิดแหล่งน้ำใกล้ๆกับที่อยู่ของนางและได้เนรมิต “ตาน้ำพุ” เกิดขึ้นข้างๆเขาทางทิศใต้ ปัจจุบันอยู่หลังวัดถ้ำบัวตอง

ส่วนทางด้านทิศตะวันออกของปากถ้ำ ยังมีถ้ำเล็กๆ อีกถ้ำหนึ่งลึกลงไปเป็นทางแคบๆแต่พอลงไปถึงด้านล่างจะเป็นบริเวณกว้างและจัดให้เป็นโรงครัวของพระธิดาบัวแก้ว-บัวตอง เมื่อก่อนชาวบ้านยังเล่ากันว่า ยังเห็นข้าวของเครื่องใช้ เครื่องครัว หม้อ ถ้วย จาน ยังมีอยู่ แต่ภายหลังชาวบ้านที่ไม่รู้คุณค่าของเก่าก็ได้ลักขโมยออกไปขายกันหมด ส่วนในถ้ำประมาณ 50 ปี ที่ผ่านมายังมีเรือพร้อมไม้พายอยู่ข้างบนถ้ำส่วนด้านในยังมีพระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเกาะสลักไม้อยู่เต็มลำเรือ ปรากฏว่ามีคนใจบาปแอบลักขโมยไปขายจนหมดซึ่งปัจจุบันไม่เหลือให้เห็นอีกเลยและชาวบ้านเล่าลือกันว่า ผู้ที่ขโมยของมีค่าออกไปนั้นจะต้องมีอันเป็นไปถึงแก่ชีวิตทุกคน

ส่วนทางด้านท้ายที่พระนางอาศัยอยู่ ยังมีถ้ำยังแห่งหนึ่งมีลักษณะพิเศษมีรูปร่างเป็นหัวช้างและมีงวงคล้ายงวงช้าง ชาวบ้านจึงเรียกว่า “ถ้ำงวง” ชาวบ้านเรียกขานกันว่าที่ตรงบริเวรนั้นเคคยเป็นโรงช้างหรือที่ผูกช้างมีก่อน ปัจจุบันส่วนที่เป็นงวงช้างได้ถูกทำลายจนไม่เหลือลักษณะของหัวช้างให้เห็นเหมือนแต่ก่อน

ทางเดินเข้าน้ำพุเจ็ดสีส่วนขุนผาดำและบริเวณอีกชุดหนึ่งได้ไปสร้างที่พักอาศัยอยู่ที่ริมเขาอีกลูกหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ดอยผาดำ” จากนั้นมาถึงปัจจุบัน ต่อมาขุนผาดำได้สร้างอุทยานและสวนดอกไม้ให้พระธิดาทั้ง 2 พระองค์และบริวารของพระนางให้พักผ่อนหย่อนใจ (ปัจจุบัน คือ ลานจอดรถในบริเวณอุทยานน้ำตกบัวตอง) แต่บริเวณนั้นไม่มีน้ำ พระธิดาทั้ง 2 พระองคืจึงได้อธิฐานให้มีแหล่งน้ำเพื่อให้ได้อาบหรือเล่นเมื่อยามอากาศร้อน เทวดาจึงได้ให้พระแม่ธรณีแทรกแผ่นดินให้เป็นธารน้ำใต้ดินซึ่งต้องอาศัยภูเขา 5-6 ลูก คือ เขาสามเส้า จำนวน 3 ลูก , เขาห้วยบง , เขาดงไม้ฮ่างหรือเขาผาตั้ง เมื่อรวมกันแล้วให้มาโผล่ขึ้นที่เหลืออุทยานเป็น “น้ำพุ” ขนาดใหญ่ที่พุแรง (ปัจจุบันเรียกว่า “น้ำพุเจ็ดสี” และเทวดาได้จัดให้กุมภัณฑ์ดูแลน้ำพุเพื่อมิให้ใครเข้าใกล้ กลัวว่าน้ำจะขุ่นมัวและบริเวณน้ำพุนั้นเรียกว่า ” หนองผีฮ้าย” หรือ (ผีดุ) ซึ่งสมัยก่อนนั้นไม่มีใครเข้าไปกล้ำกลายในบริเวณน้ำพุนั้นเพื่อไหลลงมากลายเป็นน้ำตกที่สวยงามและกว้างประมาณ 10 เมตร (ปัจจุบัน เรียกว่า น้ำตกบัวตอง) เดี๋ยวนี้บริเวณน้ำพุ และน้ำตกมีน้ำลดลงมากเพราะเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า ส่วนด้านข้างของอุทยานทิศตะวันตกหรือหลังสำนักงานลงไป เทวดาได้เนรมิตให้เป็นกำแพงกั้นอุทยาน ปัจจุบันนี้เรียกว่า “เวียงผา” จนถึงปัจจุบันและอีกบริเวณหนึ่งที่ติดกับเวียงผาสันนิฐานว่าเป็นเจดีหรือวัด มีกู่ที่ใส่อัฐิของบุคคลสำคัญ ปัจจุบันมีแต่วัตถุโบราณวัตถุหลงเหลืออยู่ ชาวบ้านเรียกว่า ” ม่อนธาตุ” แต่ไม่ทราบว่าสร้างในสมัยใด

พระธิดาบัวแก้ว-บัวตอง ซึ่งตอนที่หนีมานั้นมีสมบัติติดมามาก และมีปลิงทองคำอยู่ 2 ตัว ซึ่งพระนางผู้พี่ได้เอาปลิงทองคำไปฝังไว้ที่ใต้ต้นชมพู่ป่า ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า ” หนองปลิงหลวง” ด้านพระนางผู้น้องได้นำไปฝังที่ต้นชมพู่อีกด้านหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า ” หนองปลิงน้อย ” ตรงที่พระนางนำปลิงไปฝังไว้นั้น กลายไปตาน้ำพุไหลออกมาเป็นหนองน้ำใหญ่ทั้ง 2 แห่ง ชาวบ้านที่เก็บหาของป่าไปเจอน้ำพุจะเห้นปลิงทองคำออกมาแหวกไหวเล่นน้ำ เมื่อเข้าไปใกล้ๆปลิงทองก็จะรีบมุดลงรูตาน้ำพุไป ตอนนั้นหนองปลิงทั้งสองมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าวันใดคืนใดชาวบ้านในหมู่บ้านหรือตำบลใกล้เคียง (แม่หอน้ำ) ได้ยินเสียงครางกระหึ่ม แผ่นดินสั่นสะเทือนติดต่อกันหลายครั้ง เนื่องจากปลิงในหนองน้ำครางปรากฏการณ์นี้ชาวบ้านจึงเรียกว่า “หนองปลิงคราง” และชาวบ้านก็จะร้ทันทีว่าจะต้องมีฝนตกหนักชาวบ้านจะต้องรีบเก็บข้าวของไว้ในที่สูงๆ และเมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงปลิงครางทุกครั้งก็จะต้องเกิดปรากฏการณ์อย่างนี้ทุกครั้งไป

พระธิดาทั้ง 2 พระองค์ ทรงโปรดสุนัขมากจึงได้เลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว ต่อมาสุนัขจ่าฝูงของพระนางเกิดเป็นโรคสุนัขบ้า สุนัขได้ไล่กัดบริเวณของพระนางและพระนางก็เกิดกลัวโรคจะแพร่ระบาดจึงได้ให้เสนาคนเลี้ยงฆ่าและนำไปฝังที่ทางทิศใต้ใกล้กับห้วยแห่งหนึ่ง ห้วยนี้จึงได้ชื่อว่า ” ห้วยหมาบ้า ” ปัจจุบันเรียกกันว่า ” ห้วยป่าบ้า “

อยู่มาวันหนึ่งขุนผาดำ ได้พาพระธิดาทั้ง 2 พระองค์ไปเที่ยวบึงน้ำซับเพื่อชมนกชมไม้ ” บึงนี้เป็นบึงโคลนดูด ” มีสิงสาราสัตว์เกิดมาตกบึงโคลนดูดนี้ก็จะถูกดึงหายไป พระนางบัวแก้วผู้พี่ได้เดินไต่ขอนไม้เพื่อเดินข้ามบึงน้ำซับ จึงลื่นตกบึงซึ่งมีโคลนดูดพระนางบัวแก้วได้คว้าต้นหวายที่อยู่ใกล้ๆมือ ต้นหนึ่งแต่ทนแรงดูดของโคลนในบึงไม่ไหว หวายเลยขาดร่างของพระนางบัวแก้วจมหายไปต่อหน้าต่อตาของขุนผาดำ และพระนางบัวตอง โดยไม่มีใครสามารถช่วยเหลือทันและบึงแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “โล๊ะหวายขาด” แต่ปัจจุบันชาวบ้านเรียกเพี้ยนไปว่า “โล๊ะหวายฝาด” บริเวณบึงน้ำซับแห่งนี้ ปัจจุบันตั้งอยู่ทางด้านเหนือสำนักงานองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้

ขอขอบคุณ ตำนานน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสี www.thainews70.com

เชิญแสดงความคิดเห็น