มนต์เส่นห์แห่งเชียงคาน เมืองโบราณริมฝั่งโขง

0

ดูเอเซีย.คอมลั่นล้ามาเชียงคาน วันนี้เราจะพาเพื่อนๆมากินมาเที่ยวกันที่ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย  เพื่อมาชมบรรยากาศบ้านเรือนเก่าๆริมแม่น้ำโขงที่เชียงคาน และวิถีชีวิตของชาวเชียงคาน สำหรับการเดินทางของเราในครั้งนี้เราออกเดินทางกันมาจาก กรุงเทพฯด้วยรถโดยสารจากสถานีขนส่งหมอชิตใหม่แล้วก็มุ่งหน้ามาที่ อำเภอภูเรือกันก่อนเพื่อทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมาเป็นเวลา 2 วัน อากาศที่ภูเรือเย็นสบายมาก หลังจากที่ทำภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายมาจนเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางต่อไปที่ อำเภอเชียงคาน เราขึ้นรถกันที่ตลาดภูเรือ โดยเราโดยสารรถ 2 แถวกันไปใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงภูเรือค่ารถถูกมาก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะคนละ 35 บาท เมื่อมาถึงก็เราก็ยืน งงๆ กันอยู่ซักพักท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนแรงจนทำให้เราต้องรีบหาที่พักกันโดยเร็วก่อนที่ ดูเอเซียจะกลายเป็นหมูแดดเดียวไปซะก่อน แต่จะไปทางไหนกันดีล่ะ..? หันไปหันมาก็เจอรถสามล้อที่จอดคอยที่จะให้บริการอยู่ เราจึงไม่รอช้า รีบเดินทางไปสอบถามเส้นทางกันทันที่ “พี่ครับ..ผมจะไปที่ ที่เขามาเที่ยวกัน ที่มีบ้านเก่าๆอยู่ริมแม่น้ำโขง ที่ออกทีวีบ่อยๆนะครับพี่” ยังไม่ทันจะอธิบายจบพี่เค้าก็บอกขึ้นรถมาเลยน้อง พี่จะพาไป ก็เป็นอันว่าเราก็กระจายรายได้สู่ชุมชนกันทันที เมื่อเราขึ้นรถสามล้อปุ๊บ นั่งสามล้อกันชิวๆสบายอารมณ์ กำลังจะหยิบกล้องมาถ่ายบรรยากาศบนรถสามล้อมาฝากเพื่อนๆกันซักหน่อย ยังไม่ทันจะเปิดกระเป๋ากล้อง รถก็หยุด..”ถึงแล้วครับเสียงพี่คนขับบอกมา”….ยังไม่ทันจะถ่ายอะไรซักนิดถึงแล้วหรอ…?   ไม่ถึง5นาที เร็วอย่างกับทำบะหมี่สำเร็จรูป เมื่อเราลงจากรถสองแถวแล้วก็ได้เวลาเดินหาที่พักกันทันทีเพราะตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะ 5 โมงเย็นแล้ว เราเดินจากต้นซอยไปจนสุดซอย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีทั้งหมด 20กว่า ซอย เราเดินสำรวจกัน 1 รอบเพื่อหาที่พักตามที่เราต้องการ เมื่อเดินจนทั่วแล้วก็ได้เวลาไปที่พัก ที่เราหมายตาไว้ เมื่อเราไปถึงก็ต้องพบกับความผิดหวังเนื่องจากห้องเต็ม..จึงต้องไปที่ที่เราหมายตาไว้เป็นอันดับต่อๆไป..แต่ก็..เต็ม..เต็ม..เต็ม..แล้วก็เต็ม..จนพาอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า จนทำให้เราไม่มีสิทธิ์เลือกกันอีกต่อไป ที่ไหนว่างก็คงต้องพักแล้วหล่ะในตอนนี้

เมื่อเราเก็บสัมภาระกันเรียบร้อยก็ได้เวลาออกหากิน..แล้วก็สำรวจบรรยากาศ เชียงคานยามค่ำคืนที่มีสีสันแสงไฟที่สาดส่องไปกับผนังของตัวอาคารบ้านเรือนที่เป็นไม้แล้วมันช่างมีเส่นห์เป็นยิ่งนัก ไม่รอช้ารีบเก็บภาพมาฝากเพื่อนๆกันทันที บรรยากาศตอนกลางคืนอากาศเริ่มเย็นลง ทำให้เดินชื่นชมบรรยากาศกันได้แบบสบายๆ แต่ถ้าใครขี้เกียจเดินก็เช่าจักรยานมาขี่ได้ราคาค่าเช่าก็ไม่แพง แต่เราเลือกที่จะเดินกันดีกว่าเพราะสำภาระมากมายทั้งกล้องทั้งขาตั้งกล้อง เลยคิดว่าเดินไป ถ่ายภาพไปจะดีกว่า หลังจากเก็บภาพกันจนเต็มที่ ก็คงต้องได้เวลาพักผ่อนเสียที เพราะวันนี้เราเดินทางมาทั้งวันแล้ว ก่อนจะพักผ่อนเราก็ได้สอบถามชาวบ้านกันแล้วว่า ที่นี่เค้าจะมีตักบาตรข้าวเหนียวกันด้วย วันนี้เราจึงต้องรีบนอนกันดีกว่า เพื่อที่จะได้ตื่นมาเก็บภาพบรรยากาศการตักบาตรข้าวเหนียวมาฝากเพื่อนๆกัน แต่น่าเสียตดาย เนื่องจากมีฝนตกตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงสายก็ยังไม่หยุด เราจึงไม่มีภาพมาฝากกัน เมื่อฝนเริ่มจะหยุดเราก็เดินสำรวจบรรยากาศกันอีกซักทีก่อนที่เราจะเดินทางกลับกันในตอนเย็นวันนี้ ไหนๆก็จะกลับแล้วแต่ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออยู่เพราะเราต้องขึ้นรถกันตอน 1 ทุ่ม เราจึงตัดสินใจเช่ารถมอเตอร์ไซด์เพื่อที่จะ ขี่สำรวจสถานที่ที่น่าสนใจบริเวณใกล้เคียง บริเวณใกล้เคียงที่สุดก็จะมีแก่งคุดคู้

แก่งคุดคู้ที่อยู่ใกล้เคียงกันเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตร เป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขง ช่วงโค้งของลำน้ำโขงพอดี ทำให้เกิดกระแสน้ำเชี่ยวไหลผ่านแก่ง ในหน้าน้ำ น้ำจะท่วมจนมอง ไม่เห็นแก่ง เวลาที่เหมาะจะชมแก่งคุดคู้คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่น้ำแห้งมองเห็นเกาะแก่งชัดเจนมีโค้งสันทรายริมแม่น้ำ สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสสายน้ำโขงและธรรมชาติสองฝั่งอย่างใกล้ชิด ที่บริเวณแก่งคุดคู้มีบริการเช่าเรือยนต์ล่องแม่น้ำโขง ใช้เวลาไป-กลับประมาณ 1 ชั่วโมง ราคาแล้วแต่จะตกลง นอกจากนี้ยังมีร้านขายอาหาร เช่น ไก่ย่าง ส้มตำ ลาบ โดยเฉพาะพล่า กุ้งเต้น ต้มยำปลาจากลำน้ำโขงเป็นอาหารแนะนำในราคาไม่แพง การเดินทาง จากตัวอำเภอเชียงคานเรา สามารถนั่งรถสาย รอบเมืองไปแก่งคุดคู้ได้ซึ่งห่างจากตัวอำเภอเชียงคานไปประมาณ 3 กิโลเมตร หรือไกลไปอีกหน่อยก็คืนพระใหญ่ภูคกงิ้ว พระใหญ่ภูคกงิ้ว เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าพระพุทธนวมินทรมงคลลีลาทวินคราภิรักษ์ ตั้งอยู่ที่ภูคกงิ้ว บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม ประดิษฐานอยู่บนเนินเขาบริเวณปากลำน้ำเหืองจรดกับแม่น้ำโขง การเดินทาง จากตัวเมืองเลยทางหลวงหมายเลข 201 (เลย-เชียงคาน) ไป 47 กม. แล้วเลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกตรงไปจนถึงบ้านท่าดีหมี่ แล้วเลี้ยวขวาที่โรงเรียนบ้านท่าดีหมี่ ไปอีกประมาณ 2 กม. หลังจากที่เราสำรวจกันได้ซักพักก็ได้เวลากลับไปเก็บข้าวของเพื่อที่จะเตรียมตัวเดินทางกลับกัน ระหว่างทางกลับก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดีเราจึงหาของกินกันก่อนเพื่อจะได้มีพลังงานในการเดินทางต่อไป เมื่อเรารับประทานอาหารกันเรียบร้อยเราจึงมุ่งหน้าไปที่วัดศรีคุณเมือง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดใหญ่วัดศรีคุณเมืองอยู่ที่ถนนชายโขง ซอย 7 ทางด้านเหนือของตลาดเชียงคาน สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2485 มีกำแพงแก้วล้อมรอบตัวพระอุโบสถ วัดนี้เป็นแหล่งรวมงานศิลปะทั้งแบบล้านนาและล้านช้างดังจะเห็นได้จากโบสถ์ ซึ่งหลังคาลดหลั่นอย่างศิลปะล้านนา ศิลปวัตถุที่สำคัญมีหลายชิ้น เช่นพระพุทธรูปไม้จำหลักลงรักปิดทองปางประทานอภัยแบบล้านช้าง พระพุทธรูปดังกล่าวมีพระเกศาเป็นปุ่มแหลมเล็กพระกรรณค่อนข้างแหลมและยาว สันนิษฐานว่ามีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 24-25 นอกจากนี้ในวัดยังมีธรรมาสน์แกะสลักไม้ ลงรักปิดทองทุกด้านที่พนักหลังมียอดคล้ายปราสาท ด้านหน้าโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่เต็มหน้าบัน ภาพทั้งหมดเป็นภาพ นิทานชาดก ชุดพระเจ้าสิบชาติซึ่งวาดขึ้นใหม่แทนของเดิม

หลังจากที่เราเข้าไปกราบไหว้สักการะกันเรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นสิริมงคลและเพื่อความสบายใจตามแบบฉบับของชาวพุทธ เพื่อที่จะเดินทางกลับโดปลอดภัย หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงคาน 24 ชั่วโมงเต็มๆเราเริ่มรู้สึกอบอุ่นและได้รับการตอนับที่ดี ชาวบ้านทุกคนที่นี่ต่างยิ้มแย้มแจ่มใสและพร้อมตอนรับทุกคนที่มาเยือน ถือเป็นมนต์เส่นห์ ของเชียงคาน อีกอย่างหนึ่งนอกจากสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่สวยงาม….

ขอบคุณภาพ cac.kku.ac.th

เชิญแสดงความคิดเห็น