วัดนางสาว สมุทรสาคร

0

วันนี้ผมจะพาเพื่อนๆไปชมโบสถ์มหาอุตตม์ที่มีแห่งเดียวในประเทศไทย พร้อมกับนมัสการหลวงพ่อมหาอุตตม์ภายในโบสถ์ซึ่งศักดิ์สิทธิ์มากๆและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีกมากมายภายในวัด เอาล่ะครับเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า วัดที่กล่าวถึงนี้ก็คือ “วัดนางสาว” ซึ่งวัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงวัดหนึ่งของจังหวัดเลยทีเดียว ก็เนื่องจากความพิเศษที่มีอยู่ที่วัดนี้ในหลายๆ อย่าง อาทิเช่น ความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูป โบราณสถานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาณาบริเวณวัดสามารถใช้เป็นสถานที่พักผ่อนได้อย่างร่มรื่น และอุทยานมัจฉา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลกันมาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดหยุดนักขัตฤกษ์หรือวันเสาร์อาทิตย์คนจะเยอะมากเป็นพิเศษครับ เรียกว่าหาที่จอดรถแทบไม่ได้เลยทีเดียว ทั้งผู้คนหรือร้านค้าขายของเต็มวัดไปหมด

วัดนางสาว ตั้งอยู่ ต.ท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร มีเนื้อที่ทั้งหมด 87 ไร่เศษ ปี 2513 ได้รับยกย่องจากกรมศาสนา ให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง และเมื่อปี 2537 ได้รับรางวัลอีกครั้งพร้อมทั้งรับประกาศณียบัตร วัดพัฒนาดีเด่น วัดนางสาวมีการบูรณะก่อสร้างเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และปัจจุบันทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังจัดให้วัดนางสาวเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในกลุ่ม UNSEEN THAILAND และลงเผยแพร่ในดวงตราไปรษณียากรด้วย วัดนางสาวนั้นเดิมเป็นวัดร้างเก่าแก่มาก จนไม่อาจทราบประวัติความเป็นมาที่แท้แน่นอนได้ว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยใด แต่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาซึ่งน่าจะมีอายุมากกว่า 400 ปี และเหตุที่ตั้งชื่อวัดนางสาวนั้นก็มีที่มานะครับ เราไปย้อนอดีตที่มาของวัดกันหน่อยดีกว่าว่าเป็นมากันยังไง

ตามประวัติศาสตร์ วัดนางสาว ตั้งอยู่ในเมืองสาครบุรี คือจังหวัดสมุทรสาครในปัจจุบัน เป็นเมืองชายฝั่งทะเลตอนใต้ ของกรุงศรีอยุธยา มีเรื่องเล่ากันมาว่า มีชาวไทยกลุ่มหนึ่งอพยพ หนีภัยสงคราม ในสมัยพม่ารบกับไทยมาถึงวัดร้างอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน บังเอิญมีทหารลาดตระเวน ของพม่าผ่านมา จึงเกิดการสู้รบกันขึ้น บรรดาชายฉกรรจ์ต่างพากันต่อสู้ ส่วนคนชรา ผู้หญิงและ เด็กๆ ต่างพากันหลบหนี ณ บริเวณนั้นมีโบสถ์เก่าๆ อยู่หลังหนึ่ง เป็นโบสถ์ที่ทึบมากไม่มีหน้าต่าง จึงได้พากันวิ่งเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ และในจำนวนนั้น มีหญิงสาวสองคนเป็นพี่น้องกัน มีความตก ใจกลัวมากไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่นั้นว่า ถ้ารอดพ้นจากภัยอันตรายครั้งนี้ได้ จะบูรณะซ่อมแซมโบสถ์ให้ดีขึ้นและจะสร้างวัดให้ใหม่ด้วย พอสิ้นเสียงคำอธิฐานเท่า นั้นการสู้รบก็ยุติลงเป็นที่ประหลาดใจอย่างยิ่ง ทั้งสองสาวพี่น้องรวมทั้งเด็ก คนชราต่างพากัน ออกจากภายในโบสถ์ที่หลบซ่อนอยู่

ต่อมาเมื่อพี่น้องสองสาวทำมาหากินจนสร้างฐานะจนร่ำรวย หญิงคนน้องจึงคิดจะบูรณะ โบสถ์และวัดตามคำอธิฐานไว้ แต่คนพี่คัดค้านว่า โบสถ์เก่ามากแล้วยากแก่การบูรณะซ่อมแซม ต่อ มาหญิงสาวคนพี่ ได้แต่งงานกับเศรษฐีหนุ่มและได้ย้ายไปอยู่กับสามีอยู่เหนือขึ้นไปเล็กน้อย จึงได้ สร้างวัดขึ้นใหม่ คือ วัดกกเตย” แต่ชาวบ้านมักจะเรียกว่า วัดพี่สาว” ซึ่งปัจจุบันถูกกระแสน้ำพัด จนดินที่ตั้งวัดได้พังทลายลงไปในแม่น้ำท่าจีนจนหมดสิ้นไม่เหลือแม้แต่ซาก ส่วนหญิงคนน้องได้ ครองตัวเป็นโสดและได้บูรณะโบสถ์พร้อมสร้างวัดใหม่ดังคำที่ตั้งจิตอธิฐานไว้จนสำเร็จ ชาวบ้านจึง พร้อมใจกันตั้งชื่อว่า วัดพรหมจารีราม”เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่หญิงสาวผู้น้อง แต่คนส่วนใหญ่มักจะ เรียกว่า วัดน้องสาว”ต่อมาได้กลายมาเป็น วัดนางสาว”จวบจนปัจจุบัน

ภายในวัดที่เห็นเด่นๆเป็นสง่าก็จะเป็นพระอุโบสถเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดเล็กรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ด้านหน้ามีพาไลยื่นออกมา 1 ห้อง มีเสาปูนสี่เหลี่ยมรองรับโครงหลังคาจำนวน 4 ต้น ช่อฟ้าใบระกาปูน ปั้นประดับกระจก (แต่เดิมช่อฟ้าใบระกาเป็นไม้ หน้าบันไดเป็นไม้ประจุเรียบ ต่อมาวัดได้ดำเนินการซ่อมแซมขึ้นใหม่) ผนังพระอุโบสถก่ออิฐถือปูน มีประตูทางเข้าทางด้านหน้าเพียงประตูเดียว ด้านอื่นๆปิดทึบไม่มีหน้าต่าง แบบ “โบสถ์มหาอุตตม์” ปัจจุบันพระอุโบสถหลังนี้ได้รับการซ่อมแซมใหม่

ข้างๆ กันนั้นเรียกกันว่า วิหารคู่ เป็นวิหารสองหลัง ตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวาของโบสถ์ ด้านหน้าวิหารคู่จะมียักษ์ยืนถือกระบองตัวใหญ่มาก ภายในวิหารแต่ละหลัง ประดับตกแต่งด้วยกระจกสี เป็นลวดลายวิจิตรสวยงาม เมื่อหันหน้าเข้าโบสถ์ วิหารทางซ้าย ประดิษฐานหลวงพ่อป่าเลไลยก์ ส่วนทางขวาประดิษฐานหลวงพ่อดำซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่อายุนับหลายร้อยปี ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์อภินิหารจนเป็นที่เล่าขานของคนทั่วไป คนที่ประพฤติปฏิบัติตนเป็น คนดี คิดดี พูดดี และทำดี ทำ มาหากินโดยสุจริตและไม่เบียดเบียนผู้อื่น มาขอพรขอโชคลาภ ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จ ทุกครั้ง เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จึงเป็นที่นับถือและสักการะของประชาชนทั่วไปทั้งจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียง

บรรยากาศภายในวัดจัดตกแต่งทำเป็นสวนป่าสะอาดร่มรื่น เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน ส่วนบริเวณหน้าวัดซึ่งจะติดกับแม่น้ำท่าจีน จะมีฝูงปลามาอาศัยอยู่จำนวนมากมายเรียกได้ว่าหลายพันเลยทีเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นปลา สวาย ตัวใหญ่มากๆ ซึ่งก็สามารถให้อาหารปลาได้โดยทางวัดจะมีขนมปังคอยบริการไว้ให้ในราคา ถุงละ 20 บาท ตรงท่าน้ำหน้าวัดจะมีแพไม้ลอยอยู่สามารถเดินข้ามสะพานไปหาแพเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับฝูงปลาได้ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสนใจและเพลิดเพลินกับการให้อาหารปลากันเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

และภายในวัดยังมีสถานที่สำคัญอีกมามาย เช่น คุ้มนางพญา อีกทั้งวิหาร กุฏิ และศาลาการเปรียญที่ใหญ่โตรโหฐาน ล้วนเป็นทรงไทยทั้งสิ้น เจดีย์ ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างศาลาการเปรียญก็เก่าแก่และหาดูได้ยากซึ่งจะเป็น ลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน ย่อมุมไม้สิบสองทรงระฆัง ฐานเจดีย์เป็นฐานสิงห์ซ้อนกัน 3 ชั้น มีบัลลังก์รองรับปากระฆัง องค์ระฆังมีการตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้และพวงอุบะ ส่วนยอดเป็นบัวคลุ่มเถาและปลียอด ถือว่าเป็นการอนุรักษ์เอกลักษณ์มรดกไทยไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ดู และปัจจุบันนี้ได้มีการก่อสร้างเก๋งจีน หลังคาเป็นรูปหล่อมังกรทอง รอบสระน้ำ ซึ่งมีการเลี้ยงปลาสวยงาม มากมาย เป็นที่ดึงดูด และสร้างความประทับใจ ให้แก่นักท่องเที่ยวเป็นยิ่งนัก

สิ่งที่ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญภายในวัดคือ โบสถ์วัดนางสาว เป็นสิ่งมหัศจรรย์แปลกกว่าโบสถ์ทั่วไป กล่าวคือ เป็นโบสถ์ที่ไม่มีหน้าต่างเลยแม้แต่บานเดียว โดยมีประตูเข้าออกเพียงประตูเดียว เรียกกันคุ้นหูว่าโบสถ์มหาอุตตม์ ซึ่งค่อนข้างหาดูได้ยากและพูดได้ว่า มีแห่งเดียวในสยาม บรรยากาศภายในโบสถ์เย็นสบายและมีแสงสว่างไม่มืดทึบ มีอากาศถ่ายเทอย่างเพียงพอ ทั้งๆ ที่มีทางเข้าออกเพียงประตูเดียวเท่านั้นซึ่งก็น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมแม่น้ำท่าจีนโดยจะหันหน้าออกไปทางแม่น้ำ

โบสถ์มหาอุตตม์มีลักษณะฐานโค้งรูปเรือสำเภา ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่พบมากในช่วงอยุธยาตอนปลาย จนถึงช่วงรัตนโกสินทร์ ผนังด้านนอกประดับด้วยกระเบื้องลายนูนต่ำ ภาพเทวดาเหาะเหินเดินอากาศ โบสถ์หลังนี้มีขนาดกะทัดรัด ไม่มีหน้าต่าง มีประตูทางเข้าด้านหน้าเพียงประตูเดียว เป็นลักษณะเฉพาะของโบสถ์มหาอุตตม์ ซึ่งในสมัยโบราณ ใช้สำหรับวิปัสสนากรรมฐาน เนื่องจากต้องการอยู่ในพื้นที่จำกัด ไร้การรบกวนจากสภาพแวดล้อม ภายในประดิษฐานพระประธานชื่อหลวงพ่อมหาอุตตม์ซึ่งมีชื่อเสียงมากในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาของผู้คนในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงมากมาย ส่วนฝาผนังด้านในจะเป็นจิตรกรรมภาพเขียนซึ่งเป็นศิลปะของไทยที่เรียกกันว่าลายลดน้ำซึ่งก็สวยงามมากเลยทีเดียว

ผมขอแนะนำ วัดนางสาว สถานที่ท่องเที่ยว UNSEEN THAILAND อีกที่หนึ่ง ซึ่งถือได้ว่าเก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและโบราณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายอย่างภายในวัด เช่นโบสถ์มหาอุตตม์ แห่งเดียวในสยาม เป็นโบสถ์ที่ไม่มีหน้าต่างเลยแม้แต่บานเดียวซึ่งหาดูได้ยากในปัจจุบัน กราบสักการะบูชาหลวงพ่อมหาอุตตม์ภายในโบสถ์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากในเรื่องของความศักดิ์สิทธ์และหลวงพ่อดำซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่อายุนับหลายร้อยปี ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์อภินิหารจนเป็นที่เล่าขานของคนทั่วไป สามารถมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและยังถือว่าเป็นการมาผักผ่อนภายในตัว นักท่องเที่ยวยังสามารถให้อาหารฝูงปลาสวายหลายพันตัวซึ่งก็เป็นกิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินและถือว่าเป็นการทำบุญอีกด้วย ภายในวัดยังมีร้านอาหารคอยบริการให้นักท่องเที่ยวมากมายอย่างอย่างเลยทีเดียวรับรองงานนี้ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

ท่านที่ต้องการท่องเที่ยวที่ วัดนางสาว สามารถเดินทางโดยใช้เส้นทางถนนเพชรเกษม กม. ที่ 25 เลี้ยวซ้ายตรงแยกอ้อมน้อย เข้าไปตามถนนเศรษฐกิจ 1ไปทางกระทุ่มแบน ประมาณ 5 กม. เลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ 800 เมตรก็จะถึง วัดนางสาว หรือใช้เส้นทางถนนธนบุรี-ปากท่อ กม. ที่ 29-30 แยกเข้าถนนเศรษฐกิจ 1 ไปทางกระทุ่มแบนระยะทางประมาณ 15 กม.  

ขอบคุณภาพ วัดนางสาว Wat Nangsao Official

เชิญแสดงความคิดเห็น